จัดการทรัพย์สินของผู้เยาว์.

การจัดการทรัพย์สินของผู้เยาว์

กฎหมายแพ่ง3, คดีเยาวชนและครอบครัว

การจัดการทรัพย์สินของผู้เยาว์ เป็นเรื่องของการใช้อำนาจปกครองอย่างหนึ่งของผู้ใช้อำนาจปกครองและผู้ปกครอง ซึ่งผู้ใช้อำนาจปกครองหรือผู้ปกครองจะจัดการทรัพย์สินของผู้เยาว์ตามอำเภอใจไม่ได้ ต้องจัดการทรัพย์สินด้วยความระมัดระวังเช่นวิญญูชน และนอกจากนั้นในการจัดการทรัพย์สินดังกล่าว ผู้ใช้อำนาจปกครองหรือผู้ปกครองจะกระทำนิติกรรมอันเกี่ยวกับทรัพย์สินของผู้เยาว์บางประการ ต้องได้รับอนุญาตจากศาลก่อนจึงจะกระทำนิติกรรมดังกล่าวได้

บิดา มารดา เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรและมีอำนาจในการจัดการทรัพย์สินของบุตรผู้เยาว์ด้วย กฎหมายได้บัญญัติวิธีการและขั้นตอนในการจัดการทรัพย์สินของผู้เยาว์ไม่เข้มงวดนัก แต่มีนิติกรรมบางอย่างที่ผู้ใช้อำนาจปกครองจะกระทำมิได้เว้นแต่ศาลจะอนุญาต

โดยปกติแล้วผู้เยาว์มีอำนาจจัดการหรือทำนิติกรรม เกี่ยวกับทรัพย์สินของตนเองได้ เพียงแต่ต้องได้รับความยินยอมของผู้แทนโดยชอบธรรมก่อน (มาตรา 21) แต่มีนิติกรรมบางอย่างที่เป็นการจำหน่ายสิทธิของผู้เยาว์ ผู้ใช้อำนาจปกครองจะกระทำมิได้ หากผู้ใช้อำนาจปกครองจะกระทำนิติกรรมดังกล่าวแทนผู้เยาว์ต้องได้รับอนุญาตจากศาลก่อน

มาตรา 1574

นิติกรรมใดอันเกี่ยวกับทรัพย์สินของผู้เยาว์ดังต่อไปนี้ผู้ใช้ อำนาจปกครองจะกระทำมิได้เว้นแต่ศาลจะอนุญาต

(1) ขาย แลกเปลี่ยน ขายฝาก ให้เช่าซื้อ จำนอง ปลดจำนอง หรือโอนสิทธิจำนอง ซึ่งอสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ที่อาจจำนองได้

(2) กระทำให้สุดสิ้นลงทั้งหมดหรือบางส่วน ซึ่งทรัพยสิทธิของผู้เยาว์อันเกี่ยวกับ อสังหาริมทรัพย์

(3) ก่อตั้งภาระจำยอม สิทธิอาศัย สิทธิเหนือพื้นดิน สิทธิเก็บกิน ภาระติดพันใน อสังหาริมทรัพย์หรือทรัพยสิทธิอื่นใดในอสังหาริมทรัพย์

(4) จำหน่ายไปทั้งหมดหรือบางส่วนซึ่งสิทธิเรียกร้องที่จะให้ได้มาซึ่งทรัพยสิทธิใน อสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ที่อาจจำนองได้หรือสิทธิเรียกร้องที่จะให้ทรัพย์สินเช่นว่านั้นของ ผู้เยาว์ปลอดจากทรัพยสิทธิที่มีอยู่เหนือทรัพย์สินนั้น

(5) ให้เช่าอสังหาริมทรัพย์เกินสามปี

(6) ก่อข้อผูกพันใด ๆ ที่มุ่งให้เกิดผลตาม (1) (2) หรือ (3)

(7) ให้กู้ยืมเงิน

(8) ให้โดยเสน่หา เว้นแต่จะเอาเงินได้ของผู้เยาว์ให้แทนผู้เยาว์เพื่อการกุศล สาธารณะ เพื่อการสังคม หรือตามหน้าที่ธรรมจรรยา ทั้งนี้พอสมควรแก่ฐานานุรูปของผู้เยาว์

(9) รับการให้โดยเสน่หาที่มีเงื่อนไขหรือค่าภาระติดพัน หรือไม่รับการให้โดยเสน่หา

(10) ประกันโดยประการใด ๆ อันอาจมีผลให้ผู้เยาว์ต้องถูกบังคับชำระหนี้หรือทำ นิติกรรมอื่นที่มีผลให้ผู้เยาว์ต้องรับเป็นผู้รับชำระหนี้ของบุคคลอื่นหรือแทนบุคคลอื่น

(11) นำทรัพย์สินไปแสวงหาผลประโยชน์นอกจากในกรณีที่บัญญัติไว้ในมาตรา 1598/4 (1) (2) หรือ (3)

(12) ประนีประนอมยอมความ

(13) มอบข้อพิพาทให้อนุญาโตตุลาการวินิจฉัย

 

มาตรา 1575 

ถ้าในกิจการใด ประโยชน์ของผู้ใช้อำนาจปกครอง หรือประโยชน์ของคู่สมรสหรือบุตรของผู้ใช้อำนาจปกครองขัดกับประโยชน์ของผู้เยาว์ ผู้ใช้อำนาจปกครองต้องได้รับอนุญาตจากศาลก่อนจึงทำกิจการนั้นได้ มิฉะนั้นเป็นโมฆะ

 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4984/2537

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1574 ที่บัญญัติเกี่ยวกับการขายอสังหาริมทรัพย์ของผู้เยาว์ซึ่งผู้ใช้อำนาจปกครองจะกระทำมิได้เว้นแต่ศาลจะอนุญาตนั้นเป็นเจตนารมณ์ของกฎหมายที่จะให้มีการคุ้มครองทรัพย์สินและกิจกรรมบางอย่างที่สำคัญของผู้เยาว์ เมื่อศาลได้ไต่สวนแล้วเห็นเป็นการสมควรก็สั่งอนุญาต ผู้แทนโดยชอบธรรมจึงจะอาศัยคำอนุญาตของศาลไปทำนิติกรรมได้ ในเมื่อผู้แทนโดยชอบธรรมต้องห้ามโดยกฎหมายมิให้ทำนิติกรรมขายที่ดินซึ่งหมายความรวมถึงนิติกรรมจะขายที่ดินแทนผู้เยาว์โดยลำพังแล้ว จะถือว่าการที่ผู้เยาว์ทำนิติกรรมพร้อมกับผู้แทนโดยชอบธรรมมีผลว่าผู้แทนโดยชอบธรรมอนุญาตให้ทำได้โดยไม่ต้องขออนุญาตจากศาลก่อนก็เท่ากับเป็นการหลีกเลี่ยงไม่ต้องมาขออนุญาตจากศาลซึ่งเป็นการผิดไปจากเจตนารมณ์ของกฎหมาย ฉะนั้น สัญญาจะซื้อจะขายที่พิพาทที่จำเลยที่ 2 ได้กระทำในขณะที่ยังเป็นผู้เยาว์ แม้จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นบิดาและเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองจำเลยที่ 2 จะทำสัญญาในสัญญาฉบับเดียวกันก็ตาม สัญญาจะซื้อจะขายที่พิพาทดังกล่าวก็ไม่มีผลผูกพันจำเลยที่ 2 และกรณีมิใช่โมฆียกรรม แม้ภายหลังจำเลยที่ 2 จะบรรลุนิติภาวะโดยการสมรส จำเลยที่ 2 ก็ไม่อาจให้สัตยาบันได้

 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3259/2525

การที่ผู้ร้องสอดเป็นผู้เยาว์และเป็นเจ้าของรวมกับจำเลยในที่ดินพิพาทซึ่งมีเนื้อที่ 2 ไร่ 1 งาน 80 ตารางวา โดยจำเลยมีส่วนเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์เฉพาะส่วนของตน 1 ไร่ 90 ตารางวานั้น จำเลยย่อมมีสิทธิที่จะขายที่ดินพิพาทให้โจทก์ 200 ตารางวา ซึ่งไม่เกินส่วนของตนได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1361 วรรคแรก และเนื่องจากจำเลยไม่ได้นำที่ดินส่วนของผู้ร้องสอดที่เป็นผู้เยาว์มาขายให้โจทก์จึงไม่จำเป็นต้องได้รับความยินยอมจากผู้ร้องสอดและศาลเสียก่อน เพราะมิใช่เป็นกรณีจำเลยนำที่ดินของผู้เยาว์ไปทำนิติกรรมขายให้โจทก์ตามมาตรา 1574

 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1489/2537

จำเลยที่ 1 เป็นห้างหุ้นส่วนจำกัด มีวัตถุประสงค์ค้าผลิตภัณฑ์น้ำมัน โดยมีจำเลยที่ 2และนาง อ. บิดามารดาของจำเลยที่ 3 เป็นหุ้นส่วนเพียงสองคน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้จำเลยที่ 2 ผู้ใช้อำนาจปกครองตามกฎหมายของจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นผู้เยาว์อยู่ในขณะนั้นทำนิติกรรมจำนองที่ดินของจำเลยที่ 3 แทนจำเลยที่ 3 บุตรผู้เยาว์ได้ ดังนั้นการที่จำเลยที่ 2 ทำนิติกรรมจำนองที่ดินของจำเลยที่ 3 เพื่อเป็นประกันหนี้ของจำเลยที่ 1 ที่กู้จากโจทก์เพื่อนำเงินไปลงทุนสร้างปั๊มน้ำมัน ถือได้ว่าเป็นไปตามที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต เป็นการกระทำแทนจำเลยที่ 3 โดยชอบย่อมมีผลผูกพันจำเลยที่ 3 แม้ในการทำนิติกรรมจำนองที่ดินดังกล่าวนาง อ. มารดาจำเลยที่ 3 จะได้ลงนามร่วมกับจำเลยที่ 2 โดยไม่ได้รับอนุญาตจากศาลให้เป็นผู้จำนองที่ดินของจำเลยที่ 3 แทนจำเลยที่ 3 ได้ก็ตามแต่นาง อ. ก็ได้เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองตามกฎหมายของจำเลยที่ 3 ด้วยคนหนึ่ง ทั้งสัญญาที่นาง อ. ร่วมลงนามก็ไม่มีการกระทำนอกเหนือไปจากคำสั่งอนุญาตของศาลการกระทำของนาง อ. ดังกล่าวจึงไม่ทำให้นิติกรรมที่จำเลยที่ 2 ทำไว้ต่อโจทก์แทนจำเลยที่ 3 ต้องเสียไป

 

คำพิพากษาศาลฏีกาที่ 150/2507

ผู้ใช้อำนาจปกครองจะทำสัญญาจะซื้อขายหรือสัญญาอื่น ซึ่งผูกมัดให้จำต้องขายที่ดินของผู้เยาว์โดยไม่ได้รับอนุญาตจากศาลไม่ได้

 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5225/2533

การโอนที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เมื่อผู้ขายสละเจตนาครอบครองให้ผู้ซื้อ ผู้ซื้อก็ได้สิทธิครอบครองทันที โดยไม่ต้องจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ บิดาทำสัญญาขายที่ดินของบุตรผู้เยาว์ โดยฝ่าฝืน ป.พ.พ.มาตรา 1574(1) สัญญาซื้อขายไม่มีผลผูกพันที่ดินของบุตร

 

คำพิพากษาศาลฏีกาที่ 4860/2548

โจทก์และจำเลยทั้งสิบสอง ซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินพิพาท 2 แปลง ได้ทำข้อตกลงเกี่ยวกับการแบ่งแยกกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินพิพาททั้งสองแปลง โดยให้โจทก์ได้ที่ดินแปลงละ 1 ไร่ และระบุตำแหน่งที่ดินส่วนของโจทก์ไว้ด้วย อันมีลักษณะเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตาม ป.พ.พ. มาตรา 1574 (12) ในขณะที่จำเลยที่ 12 เป็นผู้เยาว์โดยไม่ปรากฏว่าได้รับอนุญาตจากศาล ข้อตกลงในเรื่องการแบ่งกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินดังกล่าวจึงไม่มีผลผูกพันจำเลยที่ 12 เท่ากับว่า กรรมสิทธิ์รวมของจำเลยที่ 12 ยังคงครอบไปเหนือที่ดินพิพาททั้งหมดตามส่วนของตน จนกว่าจะมีการแบ่งแยก ซึ่งมีผลไม่เพียงแต่เฉพาะในเรื่องการกำหนดตำแหน่งของที่ดินเท่านั้น แต่ยังมีผลรวมตลอดไปถึงจำนวนเนื้อที่ดินด้วย เพราะหากแบ่งที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์แปลงละ 1 ไร่ ตามข้อตกลงแล้ว ที่ดินพิพาทในส่วนที่เหลือย่อมจะมีจำนวนลดน้อยลง และไม่อาจนำมาแบ่งให้แก่จำเลยทั้งสิบสองได้ในจำนวนเท่าๆ กัน โดยไม่กระทบถึงสิทธิในจำนวนเนื้อที่ดินที่จำเลยที่ 12 จะพึงได้รับ เมื่อข้อตกลงเรื่องแบ่งกรรมสิทธิ์รวมในที่ดิน ไม่มีผลผูกพันจำเลยที่ 12 และมีผลกระทบถึงจำนวนเนื้อที่ดินตลอดจนตำแหน่งของที่ดินที่จะแบ่งแยกเช่นนี้แล้ว ย่อมเป็นสิ่งที่เกี่ยวพันไม่อาจแบ่งแยกออกได้จากนิติกรรม ซึ่งจำเลยที่ 1 ถึงที่ 11 ได้ร่วมกระทำ ข้อตกลงเรื่องแบ่งกรรมสิทธิ์รวมในที่ดิน จึงไม่มีผลผูกพันจำเลยที่ 1 ถึงที่ 11 ด้วย โจทก์ไม่อาจบังคับให้จำเลยทั้งสิบสองแบ่งที่ดินพิพาทให้แก่ตนตามข้อตกลงเรื่องแบ่งกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินตามฟ้อง

 

คำพิพากษาศาลฏีกาที่ 2170/2516

บิดาทำสัญญาต่างตอบแทนให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ของบุตรผู้เยาว์ตลอดชีวิตผู้เช่า โดยมิได้รับอนุญาตจากศาล เป็นการต้องห้าม ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1546 การให้เช่ามีผลผูกพันบุตรผู้เยาว์เพียง 3 ปี

ข้อสังเกตุ แม้จะเป็นสัญญาต่างตอบแทนพิเศษยิ่งกว่าการเช่าธรรมดา ก็ไม่ผูกพันธ์ผู้เยาว์

 

คำพิพากษาศาลฏีกาที่ 326/2524

สิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากผู้ทำละเมิดเป็นทรัพย์สินอย่างหนึ่ง การทำสัญญาประนีประนอมยอมความเกี่ยวกับสิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน จึงเป็นนิติกรรมเกี่ยวกับทรัพย์สินของเด็กผู้ใช้อำนาจปกครองจะทำสัญญาแทนเด็ก จะต้องได้รับอนุญาตจากศาลเสียก่อน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1546(4)(เดิม) เมื่อบิดาโจทก์ทำสัญญาแทนโจทก์โดยมิได้รับอนุญาตจากศาล สัญญาก็ไม่มีผลผูกพันโจทก์
    ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 51 วรรคแรก บัญญัติไว้ชัดเจนว่า ถ้าไม่มีผู้ใดฟ้องคดีอาญา สิทธิของผู้เสียหายที่จะฟ้องคดีแพ่งเนื่องจากความผิดนั้นย่อมระงับไปตามกำหนดเวลาที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา จึงต้องนำอายุความฟ้องคดีอาญามาใช้บังคับ หากการกระทำของจำเลยเป็นความผิดก็เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 300 ซึ่งต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี อายุความจึงมีกำหนดสิบปีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 95(3) คดีโจทก์ไม่ขาดอายุความ

 

เอกสารประกอบการยื่นคำร้อง

1 สูติบัตร

2 ใบสำคัญการสมรส

3 ทะเบียนบ้าน

4 บัตรประจำตัวประชาชน

5 มรณบัตร

6 โฉนดที่ดิน พร้อมหนังสือรับรองราคาประเมิน ไม่เกิน 3 เดือน

7 หนังสือรับรองเงินเดือน

8 เอกสารการเป็นหนี้สิน เช่น สัญญากู้ยืมเงิน ค่างวดเช่าซื้อรถยนต์ เป็นต้น

9 หนังสือรับรองสถานศึกษา บัตรประจำตัวนักเรียน

10 หนังสือให้ความยินยอมของผู้เยาว์ 

11 สัญญาจะซื้อจะขายทรัพย์สิน(ถ้ามี)

ตัวอย่างรายการทรัพย์สิน : ที่ดิน บ้าน คอนโดมิเนียม รถยนต์ หุ้น

 

1 เมื่อศาลได้ไต่สวนแล้วเห็นเป็นการสมควรก็จะสั่งอนุญาตแล้ว ผูัแทนโดยชอบธรรมจึงอาศัยคำสั่งอนุญาตของศาลไปทำนิติกรรมได้ 

2 ผู้ร้องต้องไปให้ถ้อยคำต่อเจ้าพนักงานสถานพินิจและคุ้มครองเด็ก เพื่อให้เจ้าหน้าที่มีความเห็นต่อศาล ภายใน 15 วันนับแต่วันยื่นคำร้อง

3 การขอจัดการทรัพย์แทนผู้เยาว์นั้น ต้องเป็นประโยชน์ต่อผู้เยาว์มากที่สุด

4 หากไม่จำเป็นจริงๆ ศาลมักมีความเห็นไม่อนุญาต เช่น นำไปเป็นค่าการศึกษาเล่าเรียนของบุตรผู้เยาว์ เป็นต้น

5 การเบิกจ่ายหรือเก็บรักษาเงิน ศาลอาจมีคำสั่งให้สถานพินิจฯจัดการควบคุมดูแล ตรวจสอบได้ แล้วให้ผู้ร้องมาเบิกจากเจ้าหน้าที่ตามความจำเป็น ก็ได้

6 เว้นแต่ ผู้ร้องจะแสดงให้ศาลเห็นว่าการขอเบิกเงินจากสถานพินิจฯไม่สะดวก ศาลก็อาจไม่มีคำสั่งให้สถานพินิจฯเป็นผู้เก็บรักษาเงินก็ได้

7 ต้องให้ผู้เยาว์เบิกความต่อศาลเพื่อยืนยันว่ายินยอมด้วย

8 ให้ผู้จะซื้อที่ดินเบิกความยืนยันว่าซื้อขายในราคาที่สูงกว่าราคาตลาด

9 เขตอำนาจศาลคือศาลที่ที่ดินตั้งอยู่

10 สามารถขอขายที่ดินทั้งแปลงหรือบางส่วนก็ได้ กรณีขายบางส่วนต้องยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งให้เจ้าพนักงานที่ดินออกไปรังวัดทำแผนที่พิพาทแสดงส่วนที่ดินที่จะขาย และแสดงส่วนที่ดินที่ยังคงเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้เยาว์

5 1 vote
Article Rating
(Visited 5,617 times, 1 visits today)
Subscribe
Notify of
guest
0 Comments
Inline Feedbacks
View all comments