กู้ยืมเงินกันทาง Social Media ฟ้อง ได้หรือไม่?
ในปัจจุบันการติดต่อสื่อสารเรื่องราวต่าง ๆระหว่างกัน ผ่าน Social Media ที่สร้างความ สะดวก รวดเร็ว แก่ผู้ใช้อย่างมากมายนั้น มีอยู่ด้วยกันหลากหลายช่องทาง ไม่ว่าจะเป็น Line, Facebook, Twitter, Email, ฯลฯ หลายคนอาจสงสัยว่า หากตกลง “กู้ยืมเงิน” กัน ผ่านช่องทางดังกล่าวแล้ว เกิดลูกหนี้เบี้ยวหนี้ขึ้นมา จะฟ้องร้องเพื่อบังคับให้ฝ่ายที่ผิดสัญญาชดใช้หนี้ หรือค่าเสียหายต่างๆ ได้หรือไม่? และต้องทำอย่างไร?
คำตอบง่ายๆ คือ “ฟ้องได้” แต่การรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อฟ้องร้องบังคับกันอย่างไรนั้น มีรายละเอียดที่จำเป็นจะต้องทำความเข้าใจในหลักกฎหมายอยู่หลายฉบับ
ก่อนอื่นเราต้องทำความเข้าใจกฎหมายพื้นฐานกันก่อน
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 วรรคแรก บัญญัติว่า
“การกู้ยืมเงินกว่าสองพันบาทขึ้นไปนั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญ จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่ “
จากที่ผมได้ยกตัวบทกฎหมาย แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 วรรคแรก ขึ้นมา ถ้าหากการกู้ยืมเงินนั้น ไม่เกิน 2,000 บาท ก็ไม่มีประเด็นที่เราจะต้องมานั่งรวบรวมหลักฐานที่เป็นหนังสือลงลายมือชื่อ เพราะสามารถฟ้องร้องบังคับกันได้ทันที แต่เราจะไม่พูดถึงประเด็นนี้ เพราะ เราจะมาศึกษาการฟ้องร้องบังคับคดีที่กฎหมายบังคับว่าต้องมี “หลักฐานเป็นหนังสือ” หมายความว่า เราจะรวบรวมพยานหลักฐานที่ใช้ในการฟ้องร้องบังคับคดีกรณีที่กู้ยืมเงินกันผ่าน Social Media ต่างๆ และ จำนวนเงินที่กู้ยืมกันนั้น เกินกว่า 2,000 บาท ขึ้นไป
“ หลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญ “
หมายความว่าอย่างไร หมายความว่า ฝ่ายผู้กู้ (ลูกหนี้) เพียงแค่ลงลายมือชื่อ ก็เพียงพอสำหรับการฟ้องร้องเพื่อบังคับคดีแล้ว ไม่จำเป็นต้องมีลายมือชื่อของ ผู้ให้กู้ (เจ้าหนี้) แต่อย่างใด ดังนั้น พยานหลักฐานชิ้นสำคัญที่จะต้องใช้ก็คือ “สิ่งที่แสดงว่า สิ่งนั้นคือ ลายมือชื่อของผู้กู้ (ลูกหนี้)”
พยานหลักฐานที่แสดงว่า นี่คือ ลายมือชื่อ ของผู้กู้ (ลูกหนี้) ไม่จำเป็นต้องเป็นกระดาษเสมอไป เพราะเพียงแต่สิ่งนั้นทำให้ปรากฏความหมายด้วยตัวอักษร สื่อสารกันได้แล้ว หากประกอบกับการแสดงตัวตนและยังยืนยันตัวตนที่ชัดเจน ก็สามารถนำมาใช้เป็นพยานหลักฐานเพื่อฟ้องร้องบังคับคดีกัน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ได้แล้วครับ
นอกจากนี้ในการฟ้องบังคับคดี ตัวโจทก์ หรือผู้ฟ้องคดี หรือทนายความ จำเป็นต้องนำ “พระราชบัญญัติว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2544 มาตรา 4, มาตรา 7, มาตรา 8 (วรรคแรก) และ มาตรา 9” มาประกอบอีก ดังนี้
มาตรา 4
“ธุรกรรม” หมายความว่า การกระทำใดๆ ที่เกี่ยวกับกิจกรรมในทางแพ่งและพาณิชย์ หรือในการดำเนินงานของรัฐตามที่กำหนดในหมวด 4
“อิเล็กทรอนิกส์” หมายความว่า การประยุกต์ใช้วิธีการทางอิเล็กตรอน ไฟฟ้า คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า หรือวิธีอื่นใดในลักษณะคล้ายกัน และให้หมายความรวมถึงการประยุกต์ใช้วิธีการทางแสง วิธีการทางแม่เหล็ก หรืออุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับการประยุกต์ใช้วิธีต่างๆ เช่นว่านั้น
“ธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์” หมายความว่า ธุรกรรมที่กระทำขึ้นโดยใช้วิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ทั้งหมดหรือแต่บางส่วน
“ข้อความ” หมายความว่า เรื่องราว หรือข้อเท็จจริง ไม่ว่าจะปรากฎในรูปแบบของตัวอักษร ตัวเลข เสียง ภาพ หรือรูปแบบอื่นใดที่สื่อความหมายได้โดยสภาพของสิ่งนั้นเองหรือโดยผ่านวิธีการใดๆ
“ข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์” หมายความว่า ข้อความที่ได้สร้าง ส่ง รับ เก็บรักษา หรือประมวลผลด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ เช่น วิธีการแลกเปลี่ยนข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ จดหมายอิเล็กทรอนิกส์ โทรเลข โทรพิมพ์ หรือโทรสาร
“ลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์” หมายความว่า อักษร อักขระ ตัวเลข เสียงหรือสัญลักษณ์อื่นใดที่สร้างขึ้นให้อยู่ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งนำมาใช้ประกอบกับข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์เพื่อแสดงความสัมพันธ์ระหว่าบุคคลกับข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อระบุตัวบุคคลผู้เป็นเจ้าของลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์นั้นและเพื่อแสดงว่าบุคคลดังกล่าวยอมรับข้อความในข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์นั้น
“เจ้าของลายมือชื่อ” หมายความว่า ผู้ซึ่งถือข้อมูลสำหรับใช้สร้างลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์และสร้างลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์นั้นในนามตนเองหรือแทนผู้อื่น
มาตรา 7
”ห้ามมิให้ปฏิเสธความมีผลผูกพันและการบังคับใช้ทางกฎหมายของข้อความใดเพียงเพราะเหตุที่ข้อความนั้นอยู่ในรูปของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์”
มาตรา 8 (วรรคแรก)
”ภายใต้บังคับบทบัญญัติแห่งมาตรา 9 ในกรณีที่กฎหมายกำหนดให้การใดต้องทำเป็นหนังสือ มีหลักฐานเป็นหนังสือ หรือมีเอกสารมาแสดง ถ้าได้มีการจัดทำข้อความขึ้นเป็นข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ที่สามารถเข้าถึงและนำกลับมาใช้ได้โดยความหมายไม่เปลี่ยนแปลง ให้ถือว่าข้อความนั้นได้ทำเป็นหนังสือ มีหลักฐานเป็นหนังสือ หรือมีเอกสารมาแสดงแล้ว”
มาตรา 9
”ในกรณีที่บุคคลพึงลงลายมือชื่อในหนังสือ ให้ถือว่าข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์นั้นมีการลงลายมือชื่อแล้ว ถ้า
(1) ใช้วิธีการที่สามารถระบุตัวเจ้าของลายมือชื่อ และสามารถแสดงได้ว่าเจ้าของลายมือชื่อรับรองข้อความในข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์นั้นว่าเป็นของตน และ
(2) วิธีการดังกล่าวเป็นวิธีการที่เชื่อถือได้โดยเหมาะสมกับวัตถุประสงค์ของการสร้างหรือส่งข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ โดยคำนึงถึงพฤติการณ์แวดล้อมหรือข้อตกลงของคู่กรณี
วิธีการที่เชื่อถือได้ตาม (2) ให้คำนึงถึง
ก. ความมั่นคงและรัดกุมของการใช้วิธีการหรืออุปกรณ์ในการระบุตัวบุคคลสภาพพร้อมใช้งานของทางเลือกในการระบุตัวบุคคล กฎเกณฑ์เกี่ยวกับลายมือชื่อที่กำหนดไว้ในกฎหมายระดับความมั่นคงปลอดภัยของการใช้ลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ การปฏิบัติตามกระบวนการในการระบุตัวบุคคลผู้เป็นสื่อกลาง ระดับของการยอมรับหรือไม่ยอมรับ วิธีการที่ใช้ในการระบุตัวบุคคลในการทำธุรกรรม วิธีการระบุตัวบุคคล ณ ช่วงเวลาที่มีการทำธุรกรรมและติดต่อสื่อสาร
ข. ลักษณะ ประเภท หรือขนาดของธุรกรรมที่ทำ จำนวนครั้งหรือความสม่ำเสมอในการทำธุรกรรม ประเพณีทางการค้าหรือทางปฏิบัติ ความสำคัญ มูลค่าของธุรกรรมที่ทำ หรือ
ค. ความรัดกุมของระบบการติดต่อสื่อสาร
ให้นำความในวรรคหนึ่งมาใช้บังคับกับการประทับตราของนิติบุคคลด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ด้วยโดยอนุโลม”