คลังข้อสอบเก่า เนติบัณฑิต

(อาญา สมัยที่ 59)

การสอบข้อเขียนความรู้ชั้นเนติบัณฑิต ภาคหนึ่ง สมัยที่ 59 ปีการศึกษา 2549
กฎหมายอาญา กฎหมายภาษีอากร กฎหมายแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน
กฎหมายรัฐธรรมนูญ และกฎหมายปกครอง

วันอาทิตย์ 24 กันยายน 2549

คำถาม 10 ข้อ ให้เวลาตอบ 4 ชั่วโมง (14.00 น. ถึง 18.00 น.) ให้ยกเหตุผลประกอบคำตอบด้วย


ข้อ 1.
 คุณยังไม่ได้เข้าสู่ระบบ

ธงคำตอบ

คุณยังไม่ได้เข้าสู่ระบบ

คำอธิบาย

...

คำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้อง


คำพิพากษาศาลฎีกาที่ : 1202/2520
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ : 1202/2520
คำพิพากษาย่อสั้น
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 232 ที่บัญญัติห้ามมิให้โจทก์อ้างจำเลยเป็นพยานนั้น หมายถึงห้ามโจทก์อ้างตัวจำเลยเป็นพยานของโจทก์เท่านั้น ฉะนั้นถึ้งแม้ร้อยเอกจุลจะเคยถูกฟ้องร่วมกับจำเลยทั้งสามมาก่อน ศาลก็ได้สั่งให้แยกฟ้องจำเลยเป็นคดีใหม่ต่างหากจากคดีที่ร้อยเอกจุลเคยถูกฟ้องร่วมกับจำเลยทั้งสาม โจทก์จึงอ้างร้อยเอกจุลเป็นพยานได้ โดยขณะที่ร้อยเอกจุลเบิกความเป็นพยานโจทก์ในคดีนี้ ร้อยเอกจุลมิได้อยู่ในฐานะเป็นจำเลย
การที่จำเลยทั้งสามซึ่งเป็นเจ้าพนักงานมีอำนาจสืบสวนสอบสวนและจับกุมผู้กระทำผิด ได้ทราบแล้วว่านายเซ่งเป็นคนยิงนายชาญตาย แต่ไม่ทำการจับกุมอันเป็นความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157, 200 ทั้งยังร่วมกันขนย้ายศพนายชาญผู้ตายไปทิ้งเพื่อปิดบังการตายอันเป็นความผิดตามมาตรา 199 นอกจากนี้ยังร่วมกันโกยเลือดนายชาญไปทิ้งที่อื่นอันเป็นความผิดฐานทำลายพยานหลักฐาานในการกระทำผิดตาม มาตรา 184 เช่นนี้ แม้การกระทำของจำเลยทั้งสามจะเป็นการกระทำหลายอย่าง แต่ก็ด้วยเจตนาอันเดียวกัน คือ เพื่อช่วยเหลือมิให้ผู้กระทำผิดต้องรับโทษและเป็นการกระทำต่อเนื่องกัน การกระทำของจำเลยทั้งสามจึงเป็นกรรมเดียวกัน แต่เป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90
คำพิพากษาย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า ในขณะเกิดเหตุ จำเลยที่ 1 เป็นผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ดเป็นพนักงานฝ่ายปกครอง มีอำนาจสืบสวนสอบสวนจับกุมผู้กระทำผิดอาญา จำเลยที่ 2 เป็นรองผู้กำกับการตำรวจภูธรจังหวัดร้อยเอ็ด เป็นตำรวจชั้นผู้ใหญ่และเป็นพนักงานสอบสวนจำเลยที่ 3 เป็นหัวหน้าสถานีตำรวจกิ่งอำเภอหนองพอก จังหวัดร้อยเอ็ด เป็นพนักงานสอบสวนเมื่อวันที่ 8 มกราคม 2512 เวลากลางคืนหลังเที่ยง ถึงวันที่ 9 มกราคม 2516 เวลากลางคืนก่อนเที่ยง จำเลยทั้งสามได้ประสพเหตุรู้ว่านายเซ่งจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 334/2516 ของศาลมณฑลทหารบกที่ 6 (ศาลจังหวัดร้อยเอ็ด) ใช้อาวุธปืนยิงนายชาญตาย จำเลยมีอำนาจจับกุม สืบสวนสอบสวน แต่จำเลยร่วมกันละเว้นการปฏิบัติหน้าที่และไม่กระทำการอย่างใด ๆ ในตำแหน่งอันเป็นการมิชอบ ไม่จับกุมนายเซ่งและไม่ทำการสืบสวน สอบสวน ดำเนินคดี ทำให้เกิดความเสียหายแก่นางพรมและประชาชนตามวันเวลาดังกล่าว จำเลยทั้งสามกับร้อยเอกจุลซึ่งศาลพิพากาาลงโทษไปแล้วกับพวกอีกหลายคน ร่วมกันยักย้ายทำลายศพนายชาญโดยเอาศพบรรทุกรถยนต์ไปทิ้งในเขตอำเภอเลิงนกทา จังหวัดยโสธร เพื่อปิดบังการตาย เพื่อช่วยเหลือนายเซ่งมิให้ต้องรับโทษ และจำเลยทั้งสามกับร้อยเอกจุลได้ทำให้เสียหาย ทำลาย ซ่อนเร้นและทำให้สูญหายซึ่งพยานหลักฐานในการกระทำผิดของนายเซ่ง โดยร่วมกันขุดโกยเอาโลหิตของนายชาญที่พื้นดินหน้าชุดคุ้มครองหมู่บ้านดงบังไปทิ้งที่อื่น แล้วเอาดินมากลบเพื่อช่วยเหลือนายเซ่งมิให้ต้องรับโทษ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157, 184, 199, 200 และ 93 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ.2502 มาตรา 13
จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่าจำเลยทั้งสามมีความผิดความประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157, 184, 199, 200 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ.2502 มาตรา 13 การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียว แต่ผิดกฎหมายหลายบท ลงโทษตามมาตรา 157 อันเป็นบทหนัก ให้จำคุกจำเลยทั้งสามคนละ 1 ปี คำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 2 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา เป็นเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามมาตรา 78 คงจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 8 เดือน
โจทก์และจำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสามฎีกาโดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาใน (ปัญหา) ข้อเท็จจริงได้
โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามที่จำเลยฎีกาว่าร้อยเอกจุลถูกฟ้องมาในคดีเดียวกับจำเลยทั้งสาม แต่โดยที่ร้อยเอกจุลรับสารภาพ ศาลจึงสั่งให้แยกฟ้องจำเลยทั้งสามที่ให้การปฏิเสธเป็นคดีนี้เสียใหม่ จึงเท่ากับเป็นคดีเดียวกัน โจทก์จึงอ้างร้อยเอกจุลเป็นพยานและนำสืบไม่ได้นั้น เห็นว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 232 ที่บัญญัติห้ามมิให้โจทก์อ้างจำเลยเป็นพยานนั้น หมายถึงห้ามโจทก์อ้างตัวจำเลยเป็นพยานของโจทก์เท่านั้นถึงแม้ร้อยเอกจุลจะเป็นผู้ที่เคยถูกฟ้องร่วมกับจำเลยทั้งสามมาก่อนก็ตาม ก็มิใช่ตัวจำเลยในคดีที่โจทก์ประสงค์จะอ้างเป็นพยาน เพราะศาลได้สั่งให้แยกฟ้องจำเลยเป็นคดีใหม่ต่างหาก จากคดีที่ร้อยเอกจุลเคยถูกฟ้องร่วมกับจำเลยทั้งสามแล้ว โจทก์จึงอ้างร้อยเอกจุลเป็นพยานได้ไม่ต้องห้าม โดยขณะที่ร้อยเอกจุลเบิกความเป็นพยานโจทก์ในคดีนี้ ร้อยเอกจุลมิได้อยู่ในฐานะเป็นจำเลย กรณีไม่ต้องห้ามตามมาตรา 232 ส่วนที่จำเลยฎีกาว่าร้อยเอกจุลผู้นี้ยังไม่มีการสอบสวนในฐานะพยาน ย่อมอ้างเป็นพยานไม่ได้นั้น เห็นว่า ไม่มีบทกฎหมายใดเลยที่บัญญัติไว้เช่นนั้น
ส่วนที่โจทก์ฎีกาว่า การกระทำของจำเลยทั้งสามเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ศาลต้องพิพากษาลงโทษจำเลยทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ศาลฎีกาเห็นว่า แม้โจทก์จะบรรยายฟ้องว่าจำเลยทั้งสามเป็นเจ้าพนักงานมีอำนาจสืบสวนสอบสวนและจับกุมผู้กระทำผิดได้ทราบแล้วนายเซ่งเป็นคนยิงนายชาญตาย แต่ไม่ทำการจับกุมอันเป็นความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157, 200 และพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. 2502 มาตรา 13 รวมทั้งสมคบร่วมกันขนย้ายศพนายชาญผู้ตายไปทิ้งเพื่อปิดบังการตายอันเป็นความผิดตามมาตรา 199 นอกจากนี้จำเลยทั้งสามยังสมคบร่วมกันโกยเลือดนายชาญไปทิ้งที่อื่น อันเป็นความผิดฐานทำลายพยานหลักฐานในการกระทำผิดตามมาตรา 184 ก็ตาม ศาลฎีกาเห็นว่า แม้การกระทำผิดของจำเลยทั้งสามจะเป็นการกระทำหลายอย่าง แต่ก็ด้วยเจตนาอันเดียวกัน คือ เพื่อช่วยเหลือมิให้ผู้กระทำผิดต้องรับโทษ และเป็นกระทำต่อเนื่องกัน การกระทำของจำเลยทั้งสามจึงเป็นกรรมเดียวกัน แต่เป็นผิดต่อกฎหมายหลายบท ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ซึ่งบัญญัติให้ใช้กฎหมายที่มีโทษหนักที่สุดแก่ผู้กระทำผิด แต่ศาลฎีกาเห็นว่าจำเลยทั้งสามมีคุณงามความดีและไม่เคยต้องคำพิพากษาให้จำคุกมาก่อน จึงพิพากษาแก้เป็นว่า ให้รอการลงโทษจำเลยทั้งสามไว้มีกำหนดคนละ 3 ปี

ผู้พิพากษา
ประภาศน์ อวยชัย
รัตน์ ศรีไกรวิน
ชลูตม์ สวัสดิทัต


ข้อ 2.
 คุณยังไม่ได้เข้าสู่ระบบ

ธงคำตอบ

คุณยังไม่ได้เข้าสู่ระบบ

คำอธิบาย

...

คำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้อง


คำพิพากษาศาลฎีกาที่ : 1647/2512
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ : 1647/2512
คำพิพากษาย่อสั้น
จำเลยมาพบผู้เสียหายที่บ่อน้ำ ผู้เสียหายพูดกับจำเลยเรื่องทำร้ายหลานชายผู้เสียหายซึ่งเป็นใบ้ จำเลยไม่พอใจผู้เสียหายและพูดว่า เดี๋ยวยิง ผู้เสียหายท้าให้ยิง จำเลยจึงควักปืนออกมาปากกระบอกเพิ่งพ้นจากเอวยังไม่ทันหันมาทางผู้เสียหาย ก็ถูกผู้เสียหายแย่งไปได้ การที่จำเลยชักปืนออกมาเป็นเพียงเตรียมการเอาปืนออกมาเท่านั้น ยังไม่ถึงขั้นลงมือ การที่จำเลยเพียงแต่ควักปืนยังไม่พ้นจากเอว จำเลยอาจทำท่าขู่ก็ได้ พฤติการณ์ยังไม่พอฟังว่าจำเลยมีเจตนาฆ่า การกระทำของจำเลยจึงยังไม่เป็นพยายามกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80

คำพิพากษาย่อยาว
โจทก์ฟ้อง จำเลยให้การรับสารภาพ โจทก์นำพยานเข้าสืบประกอบข้อเท็จจริงได้ความว่านางอุ่น ผู้เสียหาย กับจำเลยพบกัน นางอุ่นผู้เสียหายได้ถามจำเลยถึงเรื่องที่จำเลยตีนายช่วงหลานชายจำเลยตอบว่าจะตีให้ตาย ผู้เสียหายว่าตีให้ตายไม่ได้จะติดตาราง จำเลยว่าอย่าพูดมากเดี๋ยวยิง ผู้เสียหายว่ายิงก็ยิงเพราะเข้าใจว่าจำเลยไม่มีปืน ทันใดนั้น จำเลยได้ควักปืนสั้นไม่มีทะเบียนออกจากเอาภายในเสื้อคลุมขณะปากกระบอกปืนพ้นจากเอว ยังไม่ทันเล็งมายังผู้เสียหาย ผู้เสียหายได้จับข้อมือจำเลยไว้แล้วปล้ำกันจนล้มลง ผู้เสียหายแย่งปืนจากจำเลยได้ จึงนำปืนไปแจ้งความต่อเจ้าพนักงาน ปรากฏว่ามีกระสุนบรรจุอยู่หนึ่งนัด เจ้าพนักงานจับจำเลยมาดำเนินคดี
ศาลชั้นต้นเห็นว่าจำเลยชักปืนออกจากเอว พอปากกระบอกปืนพ้นเอวก็ถูกผู้เสียหายแย่งไป จำเลยยังไม่เล็งปืนหรือจ้องปืนมายังผู้เสียหาย จึงยังไม่อาจฟังว่าจำเลยลงมือกระทำความผิดและมีเจตนายิงผู้เสียหาย เพราะไม่แน่นอนว่าเมื่อจำเลยชักปืนออกมาแล้วจะยิงผู้เสียหายหรือไม่ การที่ผู้เสียหายเข้าแย่งปืนเป็นการป้องกันก่อนถึงขั้นจำเลยกระทำความผิด การกระทำของจำเลยยังไม่พอถือว่าเป็นพยายามฆ่า พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจำเลยได้พยายามยิงผู้เสียหายแล้วเพราะการยิงคนซึ่งห่างระยะหนึ่งแขนไม่จำต้องเล็งหรือเตรียมการอะไรอีก เพียงแต่หันปากกระบอกปืนไปทางผู้เสียหายแล้วลั่นไกเท่านั้น ก็ยิงผู้เสียหายได้สำเร็จ การกระทำของจำเลยเพื่อยิงผู้เสียหายถือได้ว่าได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว พิพากษายกกลับลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80 จำเลยอายุ 16 ปี ยังไม่สมควรลงโทษจำคุกให้ส่งตัวไปยังสถานพินิจและคุ้มครองเด็กจังหวัดสงขลา เพื่อฝึกอบรมเป็นเวลา 1 ปี
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่าตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80 บัญญัติว่าผู้ใดลงมือกระทำความผิดแต่กระทำไปไม่ตลอดหรือกระทำไปตลอดแล้วแต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผล ผู้นั้นพยายามกระทำความผิด ในคดีนี้จำเลยได้ควักปืนออกมา ปากกระบอกปืนเพิ่งพ้นจากเอวยังไม่ทันหันมาทางผู้เสียหายก็ถูกผู้เสียหายแย่งไปได้ การที่จำเลยชักปืนออกมาเป็นเพียงเตรียมการเอาปืนออกมาเท่านั้น ยังไม่ถึงขั้นลงมือ จำเลยอาจทำท่าขู่ พฤติการณ์ยังไม่พอฟังว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหาย การกระทำของจำเลยจึงยังไม่เป็นพยายามกระทำความผิด พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์ ปล่อยจำเลยพ้นข้อหาไป
ผู้พิพากษา
สว่าง ภูวะปัจฉิม
ยง เหลืองรังษี
ปันโน สุขทรรศนีย์


ข้อ 3.
 คุณยังไม่ได้เข้าสู่ระบบ

ธงคำตอบ

คุณยังไม่ได้เข้าสู่ระบบ

คำอธิบาย

...

คำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้อง


คำพิพากษาศาลฎีกาที่ : 3502/2548
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ : 3502/2548
คำพิพากษาย่อสั้น
จำเลยโกรธผู้เสียหายเนื่องจากถูกทวงเงินค่าน้ำมันแล้วขับขี่รถจักรยานยนต์เสียงดังใส่หน้าผู้เสียหาย ต่อมาประมาณ 30 นาที จึงกลับมาใช้อาวุธปืนแก๊ปยิงผู้เสียหาย กรณีไม่ใช่เกิดโทสะแล้วยิงผู้เสียหายทันที หากแต่เกิดโทสะและออกจากที่เกิดเหตุแล้วประมาณ 30 นาที ซึ่งมีเวลาที่จะคิดไตร่ตรอง ถือว่ามีเจตนาผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน แต่เมื่อจำเลยยิงผู้เสียหายในระยะห่าง 20 เมตร กระสุนปืนถูกบริเวณคอด้านหน้าขวาและบริเวณชายโครงขวาด้านหน้าทั้งสองแห่งมีบาดแผลขนาด 0.5 เซนติเมตร ไม่มีความลึก รักษาหายภายใน 7 วัน แสดงว่ากระสุนปืนไม่มีความรุนแรงพอที่จะทำให้ถึงแก่ความตายได้อย่างแน่แท้ เพราะเหตุอาวุธปืนซึ่งเป็นปัจจัยที่ใช้ในการกระทำความผิด จึงเป็นการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 (4) ประกอบมาตรา 81 วรรคหนึ่ง

คำพิพากษาย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 14 เมษายน 2546 เวลากลางคืน ก่อนเที่ยงจำเลยกระทำความผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างกัน กล่าวคือ จำเลยมีอาวุธปืนยาวประจุปาก (ปืนแก๊ป) ชนิดประกอบขึ้นเอง ขนาดกว้างลำกล้อง 9 มิลลิเมตร ใช้ยิงได้จำนวน 1 กระบอก และกระสุนปืน 1 นัด ซึ่งเป็นอาวุธปืนที่ไม่มีหมายเลขทะเบียนของเจ้าพนักงานประทับไว้ในครอบครองโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย จำเลยพาอาวุธปืนและกระสุนปืนดังกล่าวติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน ทางสาธารณะ โดยไม่มีเหตุสมควรและไม่ได้รับใบอนุญาตให้มีอาวุธปืนติดตัวและกรณีที่ต้องมีติดตัวเมื่อมีเหตุจำเป็นและเร่งด่วนตามสมควรแก่พฤติการณ์และจำเลยใช้อาวุธปืนดังกล่าวยิงนายกาญจนบุรี เทพเมย ผู้เสียหาย 1 นัด ถูกบริเวณคอและชายโครงของผู้เสียหายโดยมีเจตนาฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน เนื่องจากจำเลยโกรธเคืองที่ผู้เสียหายทวงค่าน้ำมันที่จำเลยไปเติมน้ำมันในสถานีบริการน้ำมันที่ผู้เสียหายทำงานอยู่ในลักษณะเหมือนกับว่าจำเลยจะโกงผู้เสียหาย จำเลยลงมือกระทำความผิดไปตลอดแล้ว แต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผลเพราะกระสุนปืนไม่ถูกอวัยวะสำคัญ และแพทย์ได้ทำการรักษาไว้ทันท่วงที ผู้เสียหายจึงไม่ถึงแก่ความตายสมดังเจตนาของจำเลย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33, 80, 91, 288, 289,371 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ และริบของกลาง
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 72, 8 ทวิ, 72 ทวิ วรรคหนึ่ง ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 (4), ประกอบมาตรา 80, 52, 53 มาตรา 371 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานพาอาวุธปืนลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ซึ่งเป็นบทหนักตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 6 เดือน ฐานมีอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก 1 ปี ฐานพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน จำคุกตลอดชีวิต จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กระทงละกึ่งหนึ่ง คงจำคุกฐานมีและพกอาวุธปืน 2 กระทง มีกำหนด 9 เดือน ฐานพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน จำคุก 25 ปี รวมจำคุก 25 ปี 9 เดือน ริบของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 296 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 72 วรรคหนึ่ง, 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 ทวิ วรรคสอง ฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ให้จำคุก 3 ปี ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 เฉพาะความผิดฐานนี้หนึ่งในสามแล้วคงจำคุก 2 ปี รวมกับโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ เป็นจำคุก 2 ปี 9 เดือน ข้อหาพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนให้ยกฟ้อง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "พิเคราะห์แล้ว มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยใช้อาวุธปืนยาวประจุปาก (ปืนแก๊ป) ชนิดประกอบขึ้นเองยิงผู้เสียหายโด่ยมีเจตนาฆ่าหรือไม่ ข้อเท็จจริงรับฟังได้ตามที่โจทก์นำสืบว่า เหตุที่จำเลยยิงผู้เสียหายเนื่องจากผู้เสียหายทวงถามเงินค่าน้ำมันจากจำเลย การที่จำเลยโกรธผู้เสียหายเนื่องจากถูกทวงถามเงินดังกล่าวแล้วขับขี่รถจักรยานยนต์เสียงดังใส่หน้าผู้เสียหาย ต่อมาประมาณ 30 นาที จึงได้กลับมาพร้อมใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายนั้น กรณีไม่ใช่เกิดโทสะแล้วยิงผู้เสียหายทันที หากแต่เป็นกรณีเกิดโทสะและออกจากที่เกิดเหตุแล้วประมาณ 30 นาที ซึ่งมีเวลาที่จำเลยคิดไตร่ตรองแล้วจึงหวนกลับมาพร้อมนำอาวุธปืนซึ่งนับว่าเป็นอาวุธที่ร้ายแรงยิงผู้เสียหาย ถือว่าเป็นการกระทำโดยมีเจตนาฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน แต่เมื่อพิเคราะห์ถึงพฤติการณ์ที่จำเลยใช้อาวุธปืนของกลางยิงผู้เสียหายในระยะห่าง 20 เมตร กระสุนปืนถูกบริเวณคอด้านหน้าขวาและบริเวณชายโครงขวาด้านหน้าทั้งสองแห่งมีบาดแผลขนาด 0.5 เซนติเมตร ไม่มีความลึกแพทย์ลงความเห็นว่ารักษาหายภายใน 7 วัน แสดงให้เห็นว่ากระสุนปืนไม่มีความรุนแรงพอที่จะทำให้ผู้เสียหายถึงแก่ความตายได้อย่างแน่แท้ เพราะเหตุอาวุธปืนซึ่งเป็นปัจจัยที่ใช้ในการกระทำความผิดการกระทำของจำเลยจึงเป็นการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 (4) ประกอบ มาตรา 81 วรรคหนึ่ง เท่านั้น"
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 (4) ประกอบมาตรา 81 วรรคหนึ่ง, 52 จำคุก 4 ปี จำเลยให้การรับสารภาพลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 2 ปี เมื่อรวมกับโทษฐานมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองและฐานพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะ โดยไม่มีเหตุอันสมควรและไม่ได้รับใบอนุญาต แล้วเป็นจำคุก 2 ปี 9 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 6
ผู้พิพากษา
วิเทพ พัชรภิญโญพงศ์
วิธวิทย์ หิรัญรุจิพงศ์
สิทธิชัย รุ่งตระกูล

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ : 370/2527
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ : 370/2527
คำพิพากษาย่อสั้น
จำเลยมีปากเสียงชกต่อย ค. ด้วยสาเหตุปักใจเชื่อว่า ค. เป็นคนร้ายฆ่าบิดาตน จำเลยสู้ไม่ได้และกลับไปก่อน ต่อมาอีก 30 นาที ค. ขี่รถจักรยานกลับบ้านมี ป. นั่งซ้อนท้ายไปด้วย จำเลยดักซุ่มอยู่ในป่าข้างทางใช้ปืนแก๊ปยาวที่ถือติดมือมายิง ค. แต่กระสุนปืนพลาดไปถูก ป. ตาย ดังนี้ เป็นการกระทำโดยไตร่ตรองไว้ก่อนจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289(4) ประกอบด้วยมาตรา 60

คำพิพากษาย่อยาว
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 289(4) ประกอบด้วย มาตรา 60 ให้ระวางโทษประหารชีวิต รับสารภาพลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุกตลอดชีวิต ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามมาตรา 288 จำคุก 10 ปี โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า "ข้อเท็จจริงตามที่โจทก์จำเลยนำสืบรับกันฟังได้ว่าในวันเกิดเหตุ นายคำพันธ์และจำเลยต่างไปช่วยเกี่ยวข้าวที่นานายเรียน เสร็จแล้วนายเรียนได้เลี้ยงอาหารและสุรา ในระหว่างดื่มสุรา จำเลยและนายคำพันธ์ พลชรินทร์ เกิดมีปากเสียงถึงขนาดชกต่อยกันด้วยสาเหตุจำเลยปักใจเชื่อว่านายคำพันธ์เป็นคนร้ายฆ่าบิดาตน จำเลยสู้นายคำพันธ์ไม่ได้ และได้กลับไปก่อนหน้านายคำพันธ์โดยถือปืนแก๊ปยาวไปด้วย และได้กล่าวอาฆาตว่าถ้าใครตามมาจะยิงหัวเอา หลังจากนั้นประมาณครึ่งชั่วโมง ขณะนายคำพันธ์ขี่รถจักรยานกลับบ้านโดยมีนางปนนั่งซ้อนท้ายไปด้วย จำเลยซึ่งดักซุ่มอยู่ในป่าข้างทางได้ใช้ปืนแก๊ปยาวที่ถือติดมือมายิงนายคำพันธ์ แต่กระสุนปืนพลาดไปถูกนางปนถึงแก่ความตายคดีคงมีปัญหาตามข้อฎีกาของโจทก์ว่าการกระทำผิดของจำเลยเป็นการกระทำโดยไตร่ตรองไว้ก่อนหรือไม่ เห็นว่าจำเลยมีความโกรธแค้นนายคำพันธ์มาก่อนไม่เพียงแต่สาเหตุที่จำเลยเชื่อว่านายคำพันธ์ฆ่าบิดาตนเท่านั้น และยังโกรธแค้นนายคำพันธ์ที่ชกต่อยจำเลยในวันเกิดเหตุโดยพูดอาฆาตว่า ถ้าใครตามมาจะยิงหัวเอา แล้วจำเลยก็กลับบ้านไปก่อน หลังจากนั้นประมาณ 30 นาที นายคำพันธ์ก็กลับบ้านโดยจำเลยทราบอยู่ก่อนแล้วว่า นายคำพันธ์จะต้องผ่านมาทางเดียวกับจำเลย การที่จำเลยหยุดคอยดักซุ่มอยู่เพื่อจะยิงนายคำพันธ์นั้น ย่อมเห็นได้ว่าจำเลยมีความเคียดแค้นคุกรุ่นอยู่ในใจตลอดมาในการตกลงใจกระทำความผิด การที่จำเลยใช้อาวุธปืนที่ติดมือมายิงนายคำพันธ์จึงมิใช่ยิงเพราะเกิดโทสะพลุ่งขึ้นเฉพาะหน้าในขณะนั้นเอง หากแต่คิดไตร่ตรองและตัดสินตกลงใจก่อนแล้วจึงลงมือกระทำความผิดในภายหลัง การกระทำผิดของจำเลยจึงเป็นการกระทำโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าการกระทำผิดของจำเลยเกิดขึ้นในขณะนั้นเอง หาได้มีการวางแผนไตร่ตรองไว้ก่อนแต่อย่างใดไม่นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยฎีกาโจทก์ฟังขึ้น"

พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 289(4) ประกอบด้วยมาตรา 60 ให้ลงโทษจำเลยตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

ผู้พิพากษา
สุทิน เลิศวิรุฬห์
อำนวย อินทุภูติ
ดำริ ศุภพิโรจน์


ข้อ 4.
 คุณยังไม่ได้เข้าสู่ระบบ

ธงคำตอบ

คุณยังไม่ได้เข้าสู่ระบบ

คำอธิบาย

...

คำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้อง


คำพิพากษาศาลฎีกาที่ : 510/2530
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ : 510/2530
คำพิพากษาย่อสั้น
การที่จำเลยตัดเลขหมายประจำแชชซีรถยนต์คันสีแดงออกแล้วตัดเอาหมายเลขประจำแชชซีของรถยนต์คันสีฟ้ามาเชื่อมต่อไว้แทน เมื่อหมายเลขประจำแชชซีรถยนต์คันสีฟ้าเป็นหมายเลขประจำรถยนต์ที่แท้จริง แม้จะนำมาติดกับรถยนต์คันอื่นแต่ไม่มีการขูดลบแก้ไข เปลี่ยนแปลงตัวอักษร หรือตัวเลขหมายแต่อย่างใด จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานปลอมเอกสารเพราะความผิดฐานปลอมเอกสารนั้นจะต้องมีการปลอมแปลงเอกสารขึ้นทั้งฉบับหรือแต่บางส่วน หรือกระทำให้ข้อความหรือความหมายในเอกสารที่แท้จริงเปลี่ยนแปลงไป

คำพิพากษาย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับพวกร่วมกันปลอมเอกสารโดยตัดเอาแชชซีรถยนต์คันสีแดงหมายเลขทะเบียน 5ม - 8188 ช่วงที่มีตัวอักษรตัวเลข เอ็น 620-304483 อันเป็นเอกสารที่แท้จริงออกทิ้ง แล้วตัดเอาแชชซีรถยนต์คันสีฟ้าของเทศบางเมืองสมุทรปราการ หมายเลขทะเบียน น.0355 สมุทรปราการ ช่วงที่มีตัวอักษร ตัวเลข เอ็น 620 - เอ 82682 ออกแล้วนำไปต่อเชื่อมกับแชชซีของรถยนต์คันสีแดงหมายเลขทะเบียน 5ม - 8188 แทนเอกสารที่แท้จริงในช่วงที่ตัดทิ้งไปดังกล่าว การกระทำของจำเลยเป็นการทำปลอมขึ้น ซึ่งเอกสารเพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารหมายเลขแชชซีของรถคันหมายเลขทะเบียน 5ม - 8188 ที่แท้จริง และจำเลยกับพวกได้ถอดเครื่องยนต์ของรถคันหมายเลขทะเบียน 5ม - 8188 ออกแล้วนำเครื่องยนต์ของรถคันหมายเลขทะเบียน น.0355 สมุทรปราการ มาติดตั้งใส่ไว้แทน และนำแผ่นป้ายทะเบียนของรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน น.0355 สมุทรปราการไปใส่แทนแผ่นป้ายทะเบียนของรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน 5ม-8188 และพ่นเปลี่ยนสีรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน 5ม-8188 จากสีแดงเป็นสีฟ้าแล้วนำส่งคืนเทศบาลเมืองสมุทรปราการเพื่อให้เทศบาลเมืองสมุทรปราการ นายทะเบียนยานพาหนะจังหวัดสมุทรปราการเจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการตรวจสภาพรถยนต์ และกรมตำรวจหลงเชื่อว่ารถยนต์คันหมายเลขทะเบียน 5ม-8188 หมายเลขเครื่อง เจ 15-444308 หมายเลขแชชซี เอ็น620-304483 เป็นรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน น.0355 สมุทรปราการ หมายเลขเครื่อง เจ 15-829139 หมายเลขแชชซี เอ็น 620-82682 ทั้งนี้ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่เทศบาลเมืองสมุทรปราการ นายทะเบียนยานพาหนะจังหวัดสมุทรปราการ เจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการตรวจสภาพรถยนต์และกรมตำรวจ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 264
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264 จำคุก 4 เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า แม้ข้อเท็จจริงจะรับฟังได้ว่าจำเลยตัดเอาแผ่นโลหะที่มีเลขหมายประจำแชชซีรถยนต์คันสีฟ้าของเทศบาลเมืองสมุทรปราการมาต่อเชื่อมแทนที่เลขหมายประจำแชชซีรถยนต์คันสีแดงที่จำเลยตัดออกไปก็ตาม แต่ความผิดฐานปลอมเอกสารนั้น จะต้องมีการปลอมแปลงเอกสารขึ้นทั้งฉบับ หรือแต่บางส่วนหรือกระทำให้ข้อความ หรือความหมายในเอกสารที่แท้จริงเปลี่ยนแปลงไป ในเรื่องนี้ได้ความว่า เลขหมายประจำแชชซีรถยนต์คันสีฟ้าของเทศบาลเมืองสมุทรปราการที่จำเลยนำมาต่อเชื่อมรถยนต์คันสีแดงเป็นหมายเลขประจำรถยนต์ที่แท้จริง แม้จะนำมาติดกับรถยนต์คันอื่นแต่ก็ไม่มีการขูดลบแก้ไขเปลี่ยนแปลงตัวอักษร ตัวเลขหมายประจำแชชซีแต่อย่างใด จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานปลอมเอกสารดังโจทก์ฟ้อง
พิพากษายืน

ผู้พิพากษา
ชวลิต นราลัย
อภินย์ ปุษปาคม
ประวิทย์ ขัมภรัตน์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ : 3078/2525
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ : 3078/2525
คำพิพากษาย่อสั้น
การที่จำเลยนำแผ่นป้ายทะเบียนรถยนต์หมายเลข น.0311พังงาซึ่งเป็นแผ่นป้ายทะเบียนรถยนต์ที่ทางราชการออกให้แก่รถยนต์ของ ส. นำไปใช้ติดกับรถยนต์จำเลยซึ่งเป็นรถยนต์อีกคันหนึ่ง แม้จะโดยมีเจตนาแสดงให้ผู้อื่นหลงเชื่อว่ารถยนต์ของจำเลยเป็นรถยนต์ที่มีหมายเลขทะเบียน น.0311 พังงา ก็ตามเมื่อแผ่นป้ายทะเบียนรถยนต์ดังกล่าวเป็นแผ่นป้ายทะเบียนรถยนต์ที่แท้จริงซึ่งทางราชการออกให้แก่รถยนต์คันอื่น จำเลยย่อมไม่มีความผิดฐานปลอมเอกสารหรือใช้เอกสารราชการปลอม (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 1141/2523)

คำพิพากษาย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้บังอาจนำรถยนต์ไม่เสียภาษีประจำปีรถยนต์ไปใช้ในถนนหลวงโดยไม่ได้รับอนุญาต และปลอมแผ่นป้ายทะเบียนรถยนต์หมายเลขน. 0311 พังงา อันเป็นเอกสารราชการ และใช้เอกสารราชการดังกล่าวนำไปติดกับรถยนต์ของจำเลย ซึ่งเป็นรถยนต์อีกคันหนึ่ง โดยมีเจตนาให้ผู้อื่นหลงเชื่อว่ารถยนต์ของจำเลยเป็นรถยนต์หมายเลขทะเบียน น.0311 พังงาที่ถูกต้อง ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264, 265, 268, 91 พระราชบัญญัติรถยนต์พ.ศ. 2522 มาตรา 6, 59
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดฐานใช้รถไม่เสียภาษีตามพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ. 2522 มาตรา 6 ลงโทษปรับ ส่วนความผิดฐานปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอมนั้นไม่เป็นความผิด ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยได้นำแผ่นป้ายทะเบียนรถยนต์หมายเลข ทะเบียน น. 0311 พังงา ซึ่งเป็นแผ่นป้ายทะเบียนรถยนต์ที่ทางราชการออกให้แก่รถยนต์ของนายสมาน นำไปใช้ติดกับรถยนต์ของจำเลย ซึ่งเป็นรถยนต์อีกคันหนึ่งโดยมีเจตนาที่จะให้ผู้อื่นหลงเชื่อว่ารถยนต์ของจำเลยเป็นรถยนต์ที่มีหมายเลขทะเบียน น. 0311 พังงาถูกต้อง และวินิจฉัยว่าสำหรับข้อหาฐานปลอมเอกสารนั้น เมื่อปรากฏว่าแผ่นป้ายทะเบียนรถยนต์ของกลางเป็นแผ่นป้ายทะเบียนที่แท้จริงซึ่งทางราชการออกให้แก่รถยนต์ของบุคคลอื่น จำเลยย่อมไม่มีความผิดฐานปลอมเอกสาร และการที่จำเลยเอาแผ่นป้ายทะเบียนรถยนต์นั้น ซึ่งเป็นเอกสารราชการที่แท้จริงมาใช้กับรถยนต์ของจำเลยเพื่อให้ผู้อื่นหลงเชื่อว่ารถยนต์ของจำเลยเป็นรถยนต์หมายเลขทะเบียน น. 0311 พังงา จำเลยไม่มีความผิดฐานใช้เอกสารราชการปลอม ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 1141/2523
พิพากษายืน

ผู้พิพากษา
อำนวย อินทุภูติ
สุทิน เลิศวิรุฬห์
เริ่ม ธรรมดุษฎี

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ : 1141/2523
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ : 1141/2523
คำพิพากษาย่อสั้น
จำเลยเอาป้ายทะเบียนรถยนต์หมายเลข ส.ฎ.00890 ของรถยนต์ยี่ห้อเฟียตมาติดใช้กับรถยนต์ของกลาง เมื่อป้ายทะเบียนรถยนต์ดังกล่าวเป็นเอกสารแท้จริงที่ราชการทำขึ้นไม่ใช่เอกสารปลอม จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานปลอมเอกสารและการที่จำเลยนำป้ายทะเบียนนั้นมาใช้กับรถยนต์ของกลางเพื่อให้ผู้อื่นหลงเชื่อว่ารถยนต์ของกลางเป็นรถยนต์หมายเลขทะเบียน ส.ฎ.00890. จำเลยก็ไม่มีความผิดฐานใช้เอกสารราชการปลอม
จำเลยรู้ว่าหมายเลขประจำเครื่องยนต์ของกลาง 215173 เป็นเลขประจำเครื่องยนต์ปลอม แล้วจำเลยนำรถยนต์ของกลางไปตรวจเครื่องยนต์แสดงว่ามีเลขหมายนั้นต่อเจ้าหน้าที่และนำไปขายแก่ผู้อื่น จำเลยมีความผิดฐานใช้เอกสารปลอม แม้คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยใช้เครื่องยนต์ที่ปลอมลงในรถยนต์ของห้าง ง. ซึ่งอยู่ในความดูแลของ จ. แต่ทางพิจารณาปรากฏว่าเลขจำเลยใช้เลขเครื่องยนต์ที่ปลอมลงในรถยนต์คันอื่นข้อแตกต่างดังกล่าวมิใช่ข้อสาระสำคัญ ทั้งจำเลยมิได้หลงต่อสู้ จึงลงโทษจำเลยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 192 วรรคสอง ที่แก้ไขใหม่
คำพิพากษาย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า มีคนร้ายลักรถยนต์เก๋งยี่ห้อเฟียต หมายเลขเครื่องประจำรถ 0101444 หมายเลขทะเบียน ก.ท.ช - 6555 ของห้างหุ้นส่วนจำกัด ง. ซึ่งอยู่ในความดูแลรักษาของ จ. ไป และจำเลยรับของโจรรถยนต์นั้น แล้วจำเลยปลอมเอกสารโดยขูดลบเลข 0101444 ของเครื่องรถยนต์ออกโดยตอกเลข 215173 ลงไปแทนและปลอมแผ่นป้ายทะเบียนสำหรับติดรถยนต์ซึ่งเป็นเอกสารราชการกรมตำรวจ 2 แผ่น ใส่ตัวเลขและอักษรปลอม ส.ฎ.00890 ลงในแผ่นป้าย ความจริงแผ่นป้ายตัวเลขและอักษรดังกล่าวเจ้าหน้าที่แผนกรถยนต์ กรมตำรวจออกให้แก่ผู้อื่น จำเลยใช้เอกสารปลอมโดยนำแผ่นป้ายทะเบียนรถยนต์ที่ปลอมขึ้นมาติดกับรถยนต์ที่จำเลยรับไว้ขับไปตามถนน และขายรถยนต์แก่ จ. ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 357, 264, 265, 268 ริบป้ายทะเบียนรถยนต์ปลอมคืนรถยนต์ของกลางแก่เจ้าของ
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 357, 265, 268 จำคุกตามมาตรา 357 สี่ปี จำคุกตามมาตรา 265, 268 สองปี ริบป้ายทะเบียนปลอม รถยนต์ของกลางคืนเจ้าของ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงยังฟังไม่ได้ว่ารถยนต์ของกลางเป็นรถยนต์ที่ จ. เช่าซื้อไว้และถูกลักไป จึงลงโทษจำเลยฐานรับของโจรไม่ได้ สำหรับข้อหาฐานปลอมป้ายทะเบียนรถยนต์และใช้ป้ายทะเบียนรถยนต์ปลอมนั้น โจทก์ไม่มีพยานมาสืบว่าป้ายทะเบียนรถยนต์ ส.ฎ.00890 ที่นำมาใช้กับรถยนต์ของกลางเป็นป้ายทะเบียนรถยนต์ปลอม ทั้งปรากฏว่าป้ายหมายเลขทะเบียนรถยนต์ดังกล่าวเป็นเลขของรถยนต์ที่จำเลยซื้อไว้ จึงไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องทำปลอมขึ้นใหม่อีก เชื่อได้ว่าจำเลยเอาป้ายรถยนต์หมายเลข ส.ฎ.00890 ของรถยนต์จำเลยมาติดใช้กับรถยนต์ของกลาง เมื่อป้ายทะเบียนรถยนต์หมายเลข ส.ฎ.00890 ไม่ใช่เอกสารปลอม จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานปลอมเอกสาร และการที่จำเลยนำป้ายทะเบียนรถยนต์ซึ่งเป็นเอกสารราชการที่แท้จริงมาใช้กับรถยนต์ของกลางเพื่อให้ผู้อื่นหลงเชื่อว่ารถยนต์ของกลางเป็นรถยนต์หมายเลขทะเบียน ส.ฎ.00890 จำเลยก็ไม่มีความผิดฐานใช้เอกสารปลอมป้ายทะเบียนรถยนต์นั้นจึงมิใช่ทรัพย์ที่จะต้องถูกริบตามกฎหมาย
ข้อหาฐานปลอมหมายเลขประจำเครื่องยนต์ โจทก์ไม่มีพยานมาสืบว่าจำเลยเป็นผู้ปลอมหรือร่วมปลอม จึงลงโทษจำเลยฐานปลอมหมายเลขประจำเครื่องยนต์ของกลางไม่ได้ส่วนข้อหาฐานใช้หมายเลขเครื่องยนต์ปลอมนั้นเห็นว่า หมายเลขเครื่องยนต์ 215173 เป็นเลขหมายเครื่องยนต์ของรถยนต์เลขหมายทะเบียน ส.ฎ.00890 ที่จำเลยซื้อจาก อ. โดยลงชื่อ ช. บุตรจำเลยเป็นผู้ครอบครองในใบอนุญาตทะเบียนและระบุว่าเป็นรถยนต์สีเทา จำเลยย่อมทราบเลขเครื่องยนต์และสีรถยนต์ได้ดีเมื่อมีผู้ไปติดต่อซื้อรถยนต์ของกลางจากจำเลย จำเลยนำรถยนต์ของกลางไปพ่นสีเป็นสีฟ้าและนำไปตรวจเครื่องยนต์ ผู้ซื้อนำเงินไปชำระแก่จำเลยแล้วนำรถยนต์ของกลางจากจำเลยไปใช้ จึงเชื่อได้ว่าจำเลยรู้ว่าหมายเลขประจำเครื่องยนต์ 215173 เป็นหมายเลขประจำเครื่องยนต์ปลอม จำเลยจึงมีความผิดฐานใช้เอกสารปลอมแม้คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยใช้เลขเครื่องยนต์ที่ปลอมลงในรถยนต์ของห้างหุ้นส่วนจำกัด ง. ซึ่งอยู่ในความดูแลของ จ. แต่ทางพิจารณาปรากฏว่า จำเลยใช้เลขเครื่องยนต์ที่ปลอมลงในรถยนต์คันอื่น ข้อแตกต่างดังกล่าวมิใช่ข้อสาระสำคัญ ทั้งจำเลยมิได้หลงต่อสู้ จึงลงโทษจำเลยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสอง ที่แก้ไขใหม่
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 ประกอบด้วยมาตรา 264 จำคุก 1 ปี จำเลยอายุ 70 ปี ไม่ปรากฏว่าได้รับโทษจำคุกมาก่อน จึงให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 3 ปี ป้ายทะเบียนรถยนต์ไม่ริบ รถยนต์ของกลางคืนเจ้าของ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

ผู้พิพากษา
ไพบูลย์ เพียรรู้จบ
วิถี ปานะบุตร
อำนัคฆ์ คล้ายสังข์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ : 1347/2541
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ : 1347/2541
นำป้ายวงกลมการแสดงเสียภาษี รถอีกคันหนึ่งมาติด รถตนไม่ผิดฐานใช้เอกสารปลอมเพราะเป็นเอกสารที่แท้จริง
....
เปรียบเทียบดูจะเห็นชัดเจนว่าผิดหรือไม่ผิดเพราะอะไร ปลอมเอกสาร แม้จะทำเพียงส่วนหนึ่งส่วนใดก็ผิด เอกสารก็อาจทำทั้งฉบับแล้วก็เป็นปลอมส่วนหนึ่งส่วนใด
ปลอมบางส่วนแล้วก็เป็นปลอมสำเร็จด้วย ตัวอย่าง ปลอมข้อความในบันทึกการขาย โดยปลอมหมายเลขผู้ถือบัตรเครดิตร ที่เรียกเซลสลิป แม้ยังไม่อาจนำไปเรียกเก็บเงินได้เพราะยังไม่ได้กรอกข้อมูลของร้านค้า จำนวนเงิน ก็น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้ถือบัตรแล้ว เป็นการปลอมเอกสารแล้ว


ข้อ 5.
 คุณยังไม่ได้เข้าสู่ระบบ

ธงคำตอบ

คุณยังไม่ได้เข้าสู่ระบบ

คำอธิบาย

...

คำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้อง


คำพิพากษาศาลฎีกาที่ : 375/2533
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ : 375/2533
คำพิพากษาย่อสั้น
เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่า จำเลยที่ 1 กับพวกอีก 2 คนเข้าไปในบ้านและพยายามลักทรัพย์ของผู้เสียหาย แล้วพวกของจำเลยดังกล่าวได้ใช้กำลังประทุษร้ายผู้เสียหายจนได้รับอันตรายแก่กายเพื่อสะดวกในการลักทรัพย์ หรือพาทรัพย์ไปแต่ไม่สามารถพาทรัพย์นั้นไปได้ เพราะมีผู้มาพบเห็นเสียก่อน ดังนี้การที่พวกของจำเลยที่ 1 ใช้กำลังประทุษร้ายผู้เสียหายดังกล่าว จึงมิได้นอกเหนือความมุ่งหมายหรือเจตนาของจำเลยที่ 1 แต่อย่างใด การกระทำของจำเลยที่ 1 กับพวกจึงเป็นความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรคแรก 80.
คำพิพากษาย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340,340 ตรี, 295, 371, 83, 91, 32 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2526 มาตรา 4 ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 ลงวันที่ 21 พฤศจิกายน 2514 ข้อ 14, 15พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิคำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ 44 ลงวันที่ 21 ตุลาคม2519 ข้อ 3, 6, 7 และสั่งริบกระสุนปืนของกลาง
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 335(1) (7) (8), 83, 80 จำคุก 3 ปี จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 2 ปีข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยกริบกระสุนปืนของกลาง ยกฟ้องจำเลยที่ 2
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรคแรก ประกอบด้วยมาตรา 80 จำคุก 8 ปีจำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาเป็นเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสาม ตามมาตรา 78 คงจำคุก 5 ปี 4 เดือน นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นรับฟังตามที่โจทก์นำสืบได้ว่า วันเกิดเหตุ นางหนูแดงภรรยาของผู้เสียหายยืนอยู่ชั้นบนมองลงไปเห็นจำเลยที่ 1 ยืนอยู่ที่ประตูเข้าบ้าน เมื่อลงมาชั้นล่างเห็นคนร้ายอีก 2 คน และเห็นผู้เสียหายมีบาดแผลที่ใบหน้า คนร้าย 2 คน จะเอาเครื่องวีดีโอเพราะมีผ้าขาวม้าสอดอยู่ข้างใต้ นางหนูแดงร้องขอความช่วยเหลือ จำเลยที่ 1กับคนร้ายอีก 2 คน วิ่งหนีภายหลังเจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยที่ 1ได้ที่ตึกสร้างใหม่ จำเลยที่ 1 รับว่าร่วมกับพวกปล้นทรัพย์บ้านผู้เสียหายและได้พาเจ้าพนักงานตำรวจไปจับจำเลยที่ 2 ได้ที่จังหวัดราชบุรี จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพ มีปัญหาตามที่จำเลยที่ 1ฎีกาว่า จำเลยที่ 1 ร่วมทำความผิดฐานพยายามปล้นทรัพย์จริงหรือไม่โจทก์มีพยาน คือ ร้อยตำรวจตรีสมบูรณ์ สมทรง ผู้จับกุมจำเลยที่ 1เบิกความว่า เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2530 เวลา 1.30 นาฬิกา พยานกับพวกได้ออกตรวจท้องที่ เมื่อไปถึงปากซอย 10 หมู่บ้านเศรษฐกิจได้รับแจ้งจากชาวบ้านว่า มีเสียงร้องขอความช่วยเหลือจากบ้านเลขที่56 พยานกับพวกได้ไปที่บ้านดังกล่าวพบผู้เสียหายอยู่ในอาการตกใจและมีบาดแผลที่ใบหน้า สอบถามได้ความว่ามีคนร้าย 3 คน เข้าไปในบ้านเพื่อจะเอาเครื่องวีดีโอผู้เสียหายต่อสู้ คนร้ายหลบหนีไปได้สอบถามชาวบ้านแล้วทราบว่าคนร้ายหนีไปอยู่ในตึกสร้างใหม่บริเวณปากซอย พยานกับพวกตามไปจับจำเลยที่ 1 ได้ เมื่อแจ้งข้อหาว่าจำเลยที่ 1 ร่วมกับพวกปล้นทรัพย์ จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพดังนี้จะเห็นได้ว่าร้อยตำรวจตรีสมบูรณ์เบิกความสอดคล้องกับคำเบิกความของนางหนูแดงภรรยาผู้เสียหาย เพราะนางหนูแดงเมื่อได้ยินเสียงผู้เสียหายร้องจึงลุกขึ้นและเปิดหน้าต่างมองลงไปเห็นจำเลยที่ 1ยืนอยู่ที่หน้าประตูบ้าน เพราะมีแสงไฟนีออนติดอยู่ที่รั้วบ้านห่างจากประตูบ้านประมาณ 3-4 เมตร ปรากฏตามแผนที่สังเขปแสดงบริเวณที่เกิดเหตุแม้นางหนูแดงเบิกความตอบคำถามค้านว่า จำเลยที่ 1 นั่งบังรถกระบะที่จอดอยู่ และไฟประตูรั้วไม่สว่างนัก แต่นางหนูแดงยืนยันว่าเห็นและจำได้แน่ว่าเป็นจำเลยที่ 1 เพราะนางหนูแดงเคยรู้จักจำเลยที่ 1 มาก่อนเกิดเหตุ จำเลยที่ 1 เคยเป็นลูกจ้างของบุตรชายของตนมาประมาณ 5 เดือน ได้ออกไปก่อนเกิดเหตุประมาณ 2 ปีเมื่อเกิดเหตุแล้วร้อยตำรวจตรีสมบูรณ์จับจำเลยที่ 1 ได้หลังเกิดเหตุเล็กน้อยในขณะที่จำเลยที่ 1 ซ่อนตัวอยู่ในตึกสร้างใหม่บริเวณปากซอย ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 กับพวกเข้ามาในบ้านผู้เสียหายเพื่อลักเครื่องวีดีโอ เมื่อนางหนูแดงร้องขึ้น จำเลยที่ 1กับพวกหลบหนี ส่วนที่จำเลยที่ 1 นำสืบว่าไม่ได้เข้าไปในบ้านผู้เสียหายนั้น ไม่น่าเชื่อ เพราะนางหนูแดงรู้จักจำเลยที่ 1 มาก่อนร้อยตำรวจตรีสมบูรณ์ผู้จับจำเลยที่ 1 ไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยที่ 1 มาก่อน จึงไม่มีเหตุที่จะแกล้งเบิกความปรักปรำจำเลยที่ 1 เพื่อให้ได้รับโทษ ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า ผู้เสียหายป่วยเป็นโรคประสาท พูดไม่ค่อยรู้เรื่อง และความจำเสื่อม จึงไม่น่าเชื่อว่าผู้เสียหายจะจำได้นั้น เห็นว่า แม้ผู้เสียหายจะเบิกความไม่รู้เรื่องบ้างก็ตาม แต่ผู้เสียหายยืนยันว่าถูกคนร้ายทำร้ายได้รับบาดเจ็บซึ่งตรงกับที่นางหนูแดงเบิกความว่า เมื่อลงมาเห็นผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บที่ใบหน้าและเห็นคนร้าย 2 คนอยู่ในห้องเดียวกับผู้เสียหาย เมื่อนางหนูแดงร้องขอความช่วยเหลือคนร้าย 2 คน และจำเลยที่ 1 จึงหนีไปด้วยกันจึงเชื่อได้ว่าคนร้าย 2 คนนั้นได้ทำร้ายผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บ ปรากฏตามรายงานการตรวจชันสูตรบาดแผลของแพทย์ท้ายฟ้องที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่าการกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 (1) (7) (8), 83, 80 เท่านั้น เห็นว่าเมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 กับคนร้ายอีก 2 คน มีเจตนาเข้าไปในบ้านและพยายามลักทรัพย์ของผู้เสียหายไปนั้น คนร้ายที่เข้าไปในบ้านได้ใช้กำลังประทุษร้ายผู้เสียหายจนได้รับอันตรายแก่กายก็เพื่อความสะดวกแก่การลักทรัพย์หรือพาทรัพย์นั้นไป แต่ไม่สามารถพาทรัพย์นั้นไปได้เพราะมีผู้มาพบเห็นเสียก่อน ดังนั้นการที่พวกของจำเลยที่ 1 ใช้กำลังประทุษร้ายผู้เสียหายเพื่อจะลักทรัพย์ไปนั้นไม่อยู่นอกเหนือความมุ่งหมายหรือเจตนาของจำเลยที่ 1แต่อย่างไร การกระทำของจำเลยที่ 1 กับพวก จึงเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 340 วรรคแรก, 80..."
พิพากษายืน
ผู้พิพากษา
อุไร คังคะเกตุ
ประวิทย์ ขัมภรัตน์
สุวิทย์ ธีรพงษ์


ข้อ 6.
 คุณยังไม่ได้เข้าสู่ระบบ

ธงคำตอบ

คุณยังไม่ได้เข้าสู่ระบบ

คำอธิบาย

...

คำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้อง


คำพิพากษาศาลฎีกาที่ : 6863/2543
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ : 6863/2543 (ประชุมใหญ่)

คำพิพากษาย่อสั้น
การกระทำของจำเลยที่กล่าวอ้างต่อผู้เสียหายว่าจะติดต่อให้ผู้เสียหายไถ่รถยนต์กระบะคืนจากคนร้าย และเรียกร้องเงินโดยอ้างเป็นค่าใช้จ่าย ในการดำเนินการจำนวน 3,500 บาท กับอ้างว่าคนร้ายต้องการค่าไถ่จำนวน50,000 บาท แต่ก็ไม่เกิดผลตามที่จำเลยอ้าง แม้เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยและให้จำเลยนำไปบ้านของผู้มีชื่อที่อ้างว่าเป็นที่ซ่อนรถยนต์กระบะก็ไม่พบ ยังไม่เพียงพอให้รับฟังได้ว่าเป็นการช่วยจำหน่ายรถยนต์กระบะของผู้เสียหายซึ่งถูกคนร้ายลักไปอันจะทำให้จำเลยต้องมีความผิดฐานรับของโจรแต่พยานหลักฐานดังกล่าวรับฟังได้ว่าจำเลยมีเจตนาทุจริตแสดงข้อความอันเป็นเท็จ หลอกลวงผู้เสียหายเพื่อให้เงินแก่จำเลยและได้รับไปแล้ว จำนวน 3,500 บาท การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานฉ้อโกง
คำพิพากษาย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า มีคนร้ายลักรถยนต์กระบะของผู้เสียหายไป ต่อมาผู้เสียหายนำเจ้าพนักงานจับจำเลยได้ ทั้งนี้ ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุลักทรัพย์จำเลยเป็นคนร้ายลักรถยนต์กระบะของผู้เสียหายไป หรือมิฉะนั้นระหว่างวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุลักทรัพย์ถึงวันที่ 28 กรกฎาคม 2540 เวลากลางคืนหลังเที่ยง วันเวลาใดไม่ปรากฏชัด จำเลยรับไว้ ช่วยจำหน่าย ช่วยพาเอาไปเสียซึ่งรถยนต์กระบะคันดังกล่าวโดยจำเลยรู้ว่าเป็นทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 334, 335, 357
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 วรรคแรก จำคุก 5 ปี ข้อหาและคำขออื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 จำคุก 6 เดือน และปรับ 2,000 บาท เมื่อไม่ปรากฏว่า จำเลยเคยรับโทษจำคุกมาก่อน เห็นควรให้โอกาสกลับตัวเป็นพลเมืองดี โทษจำคุกจึงให้รอการลงโทษไว้ 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ข้อหาและคำขออื่นให้ยก
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "ข้อเท็จจริงรับฟังได้เป็นยุติโดยไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกาโต้แย้งว่า เมื่อระหว่างกลางคืนวันที่ 25 ต่อเนื่องวันที่ 26 พฤษภาคม 2540 มีคนร้ายลักรถยนต์กระบะของนายสมนึก สินไชย ผู้เสียหาย ไปจากบริเวณข้างบ้านพัก ต่อมาจำเลยได้กล่าวอ้างว่าสามารถติดต่อกับคนร้ายได้และเรียกเงินค่าใช้จ่ายจากผู้เสียหายและได้ไปจำนวนหนึ่ง ทั้ง ๆ ที่ผู้เสียหายและจำเลยไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แต่ในที่สุดผู้เสียหายก็ยังไม่ได้รถยนต์กระบะคืน จึงแจ้งให้เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยดำเนินคดีนี้ คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานรับของโจรหรือไม่ โจทก์มีผู้เสียหาย นายสมคิด รอดภัย ลูกจ้างของผู้เสียหายและพันตำรวจโทบรรลือ ชูเวทย์ สารวัตรสืบสวนสอบสวนสถานีตำรวจภูธร อำเภอเมืองตรัง เป็นพยานเบิกความให้ข้อเท็จจริงต่อเนื่องกันว่า เมื่อรถยนต์กระบะของผู้เสียหายถูกลักไปจำเลยไปหานายสมคิดอาสาจะสืบหาให้ นายสมคิดจึงพาจำเลยไปพบผู้เสียหาย จำเลยบอกผู้เสียหายว่ารถยนต์กระบะที่ถูกลักไปอยู่ไม่ไกลจากบ้านของผู้เสียหาย ผู้เสียหายแจ้งให้จำเลยทราบว่าขอไถ่รถยนต์กระบะคืนจากคนร้ายหลังจากนั้นจำเลยเรียกร้องเงินจากผู้เสียหายอ้างเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการขอไถ่รถยนต์กระบะคืน ผู้เสียหายจ่ายเงินให้จำเลยไป 2 คราว รวมเป็นเงิน 3,500 บาท จำเลยแจ้งว่าคนร้ายต้องการค่าไถ่จำนวน 60,000 บาท ผู้เสียหายต่อรองเหลือ 30,000 บาท ต่อมาจำเลยแจ้งว่าคนร้ายลดค่าไถ่ให้เหลือ 50,000 บาท แต่ในที่สุดจำเลยก็แจ้งแก่ผู้เสียหายว่าจะไม่ยอมให้ผู้เสียหายไถ่รถยนต์กระบะเพราะไม่พอใจผู้เสียหายที่ให้นายอั้น รักษาชล กำนันในอำเภอชะอวด จังหวัดนครศรีธรรมราชช่วยสืบหารถยนต์กระบะด้วยผู้เสียหายจึงวางแผนให้จำเลยไปพบและแจ้งให้พันตำรวจโทบรรลือกับพวกทำการจับกุม ชั้นจับกุมจำเลยรับว่าร่วมกับพวกเป็นคนร้ายลักรถยนต์กระบะของผู้เสียหาย เห็นว่า จากพยานหลักฐานโจทก์เท่าที่ปรากฏ โจทก์มิได้รถยนต์กระบะที่ถูกลักคืนจากคนร้าย คดีคงมีเพียงข้อเท็จจริงที่ปรากฏว่าจำเลยกล่าวอ้างต่อผู้เสียหายว่าจะติดต่อให้ผู้เสียหายไถ่รถยนต์กระบะคืนจากคนร้าย และเรียกร้องเงินโดยอ้างเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการไปจากผู้เสียหาจำนวน 3,500 บาท กับอ้างว่าคนร้ายต้องการค่าไถ่จำนวน 50,000 บาท แต่ก็ไม่เกิดผลตามที่จำเลยอ้าง ซึ่งแม้จำเลยถูกผู้เสียหายวางแผนให้เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลย และให้จำเลยนำไปที่บ้านของนายไข่ขาว (ไม่ปรากฏชื่อสกุล) อยู่ที่บ้านควนสมบูรณ์ ตำบลท่าประจักษ์หรือท่าประจะ อำเภอชะอวด จังหวัดนครศรีธรรมราช โดยจำเลยอ้างว่ารถยนต์กระบะของผู้เสียหายถูกนำไปซุกซ่อนไว้ ก็ไม่พบรถยนต์กระบะดังกล่าว พยานหลักฐานโจทก์เพียงเท่านี้จึงไม่มีน้ำหนักเพียงพอให้รับฟังได้โดยสนิทใจว่า การกระทำของจำเลยเป็นการช่วยจำหน่ายรถยนต์กระบะของผู้เสียหายซึ่งถูกคนร้ายลักไป อันจะทำให้จำเลยต้องมีความผิดฐานรับของโจร แต่พยานหลักฐานโจทก์ดังกล่าวมีน้ำหนักให้รับฟังได้ว่า จำเลยมีเจตนาทุจริตแสดงข้อความอันเป็นเท็จหลอกลวงผู้เสียหายเพื่อให้เงินแก่จำเลยและจำเลยได้ไปแล้วจำนวน 3,500 บาท การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานฉ้อโกงดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 วินิจฉัยปรับบทไว้ พยานจำเลยซึ่งนำสืบต่อสู้ในทำนองจำเลยเพียงแต่มีเจตนาช่วยเหลือผู้เสียหายนั้นขัดแย้งต่อเหตุผลและผิดวิสัยที่คนซึ่งไม่เคยรู้จักกันมาก่อนจะกล้าสอดเข้าไปเป็นตัวกลางระหว่างคนร้ายกับผู้เสียหายในการเรียกร้องค่าไถ่รถยนต์กระบะดังกล่าวเพราะรังแต่จะเสี่ยงต่อการถูกกล่าวหาว่าร่วมกระทำผิดกับคนร้ายที่ลักรถยนต์กระบะของผู้เสียหายไป พยานจำเลยจึงไม่มีน้ำหนักรับฟังหักล้างพยานโจทก์ แต่ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 กำหนดโทษจำเลยเพียงจำคุก 6 เดือนปรับ 2,000 บาท และรอการลงโทษจำคุกให้นั้น ศาลฎีกาพิเคราะห์ถึงพฤติการณ์แห่งคดีแล้ว เห็นว่า โทษดังกล่าวเบาไปไม่เหมาะสมแก่การกระทำของจำเลย จึงเห็นสมควรแก้ไขโทษที่ลงแก่จำเลยเสียใหม่และไม่รอการลงโทษจำคุกฎีกาของโจทก์ฟังขึ้นบางส่วน"
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษจำเลยจำคุก 2 ปี นอกจากที่แก้คงเป็นตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9

ผู้พิพากษา
สมชาย จุลนิติ์
ระพินทร บรรจงศิลป
ชวลิต ตุลยสิงห์


ข้อ 7.
 คุณยังไม่ได้เข้าสู่ระบบ

ธงคำตอบ

คุณยังไม่ได้เข้าสู่ระบบ

คำอธิบาย

...

คำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้อง


ข้อ 8.
 คุณยังไม่ได้เข้าสู่ระบบ

ธงคำตอบ

คุณยังไม่ได้เข้าสู่ระบบ

คำอธิบาย

...

คำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้อง


ข้อ 9.
 คุณยังไม่ได้เข้าสู่ระบบ

ธงคำตอบ

คุณยังไม่ได้เข้าสู่ระบบ

คำอธิบาย

...

คำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้อง


ข้อ 10.
 คุณยังไม่ได้เข้าสู่ระบบ

ธงคำตอบ

คุณยังไม่ได้เข้าสู่ระบบ

คำอธิบาย

...

คำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้อง

Visitor Statistics
» 1 Online
» 66 Today
» 24 Yesterday
» 150 Week
» 418 Month
» 1668 Year
» 68649 Total
Record: 15081 (20.04.2022)
Free PHP counter