คลังข้อสอบเก่า เนติบัณฑิต

(อาญา สมัยที่ 59)

 

การสอบข้อเขียนความรู้ชั้นเนติบัณฑิต ภาคหนึ่ง สมัยที่ 59 ปีการศึกษา 2549
กฎหมายอาญา กฎหมายภาษีอากร กฎหมายแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน
กฎหมายรัฐธรรมนูญ และกฎหมายปกครอง

วันอาทิตย์ 24 กันยายน 2549

คำถาม 10 ข้อ ให้เวลาตอบ 4 ชั่วโมง (14.00 น. ถึง 18.00 น.) ให้ยกเหตุผลประกอบคำตอบด้วย

 


ข้อ 3.  คุณยังไม่ได้เข้าสู่ระบบ

ธงคำตอบ

คุณยังไม่ได้เข้าสู่ระบบ

คำอธิบาย

...

คำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้อง


คำพิพากษาศาลฎีกาที่ : 3502/2548
คำพิพากษาย่อสั้น
จำเลยโกรธผู้เสียหายเนื่องจากถูกทวงเงินค่าน้ำมันแล้วขับขี่รถจักรยานยนต์เสียงดังใส่หน้าผู้เสียหาย ต่อมาประมาณ 30 นาที จึงกลับมาใช้อาวุธปืนแก๊ปยิงผู้เสียหาย กรณีไม่ใช่เกิดโทสะแล้วยิงผู้เสียหายทันที หากแต่เกิดโทสะและออกจากที่เกิดเหตุแล้วประมาณ 30 นาที ซึ่งมีเวลาที่จะคิดไตร่ตรอง ถือว่ามีเจตนาผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน แต่เมื่อจำเลยยิงผู้เสียหายในระยะห่าง 20 เมตร กระสุนปืนถูกบริเวณคอด้านหน้าขวาและบริเวณชายโครงขวาด้านหน้าทั้งสองแห่งมีบาดแผลขนาด 0.5 เซนติเมตร ไม่มีความลึก รักษาหายภายใน 7 วัน แสดงว่ากระสุนปืนไม่มีความรุนแรงพอที่จะทำให้ถึงแก่ความตายได้อย่างแน่แท้ เพราะเหตุอาวุธปืนซึ่งเป็นปัจจัยที่ใช้ในการกระทำความผิด จึงเป็นการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 (4) ประกอบมาตรา 81 วรรคหนึ่ง

คำพิพากษาย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 14 เมษายน 2546 เวลากลางคืน ก่อนเที่ยงจำเลยกระทำความผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างกัน กล่าวคือ จำเลยมีอาวุธปืนยาวประจุปาก (ปืนแก๊ป) ชนิดประกอบขึ้นเอง ขนาดกว้างลำกล้อง 9 มิลลิเมตร ใช้ยิงได้จำนวน 1 กระบอก และกระสุนปืน 1 นัด ซึ่งเป็นอาวุธปืนที่ไม่มีหมายเลขทะเบียนของเจ้าพนักงานประทับไว้ในครอบครองโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย จำเลยพาอาวุธปืนและกระสุนปืนดังกล่าวติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน ทางสาธารณะ โดยไม่มีเหตุสมควรและไม่ได้รับใบอนุญาตให้มีอาวุธปืนติดตัวและกรณีที่ต้องมีติดตัวเมื่อมีเหตุจำเป็นและเร่งด่วนตามสมควรแก่พฤติการณ์และจำเลยใช้อาวุธปืนดังกล่าวยิงนายกาญจนบุรี เทพเมย ผู้เสียหาย 1 นัด ถูกบริเวณคอและชายโครงของผู้เสียหายโดยมีเจตนาฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน เนื่องจากจำเลยโกรธเคืองที่ผู้เสียหายทวงค่าน้ำมันที่จำเลยไปเติมน้ำมันในสถานีบริการน้ำมันที่ผู้เสียหายทำงานอยู่ในลักษณะเหมือนกับว่าจำเลยจะโกงผู้เสียหาย จำเลยลงมือกระทำความผิดไปตลอดแล้ว แต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผลเพราะกระสุนปืนไม่ถูกอวัยวะสำคัญ และแพทย์ได้ทำการรักษาไว้ทันท่วงที ผู้เสียหายจึงไม่ถึงแก่ความตายสมดังเจตนาของจำเลย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33, 80, 91, 288, 289,371 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ และริบของกลาง
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 72, 8 ทวิ, 72 ทวิ วรรคหนึ่ง ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 (4), ประกอบมาตรา 80, 52, 53 มาตรา 371 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานพาอาวุธปืนลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ซึ่งเป็นบทหนักตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 6 เดือน ฐานมีอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก 1 ปี ฐานพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน จำคุกตลอดชีวิต จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กระทงละกึ่งหนึ่ง คงจำคุกฐานมีและพกอาวุธปืน 2 กระทง มีกำหนด 9 เดือน ฐานพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน จำคุก 25 ปี รวมจำคุก 25 ปี 9 เดือน ริบของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 296 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 72 วรรคหนึ่ง, 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 ทวิ วรรคสอง ฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ให้จำคุก 3 ปี ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 เฉพาะความผิดฐานนี้หนึ่งในสามแล้วคงจำคุก 2 ปี รวมกับโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ เป็นจำคุก 2 ปี 9 เดือน ข้อหาพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนให้ยกฟ้อง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "พิเคราะห์แล้ว มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยใช้อาวุธปืนยาวประจุปาก (ปืนแก๊ป) ชนิดประกอบขึ้นเองยิงผู้เสียหายโด่ยมีเจตนาฆ่าหรือไม่ ข้อเท็จจริงรับฟังได้ตามที่โจทก์นำสืบว่า เหตุที่จำเลยยิงผู้เสียหายเนื่องจากผู้เสียหายทวงถามเงินค่าน้ำมันจากจำเลย การที่จำเลยโกรธผู้เสียหายเนื่องจากถูกทวงถามเงินดังกล่าวแล้วขับขี่รถจักรยานยนต์เสียงดังใส่หน้าผู้เสียหาย ต่อมาประมาณ 30 นาที จึงได้กลับมาพร้อมใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายนั้น กรณีไม่ใช่เกิดโทสะแล้วยิงผู้เสียหายทันที หากแต่เป็นกรณีเกิดโทสะและออกจากที่เกิดเหตุแล้วประมาณ 30 นาที ซึ่งมีเวลาที่จำเลยคิดไตร่ตรองแล้วจึงหวนกลับมาพร้อมนำอาวุธปืนซึ่งนับว่าเป็นอาวุธที่ร้ายแรงยิงผู้เสียหาย ถือว่าเป็นการกระทำโดยมีเจตนาฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน แต่เมื่อพิเคราะห์ถึงพฤติการณ์ที่จำเลยใช้อาวุธปืนของกลางยิงผู้เสียหายในระยะห่าง 20 เมตร กระสุนปืนถูกบริเวณคอด้านหน้าขวาและบริเวณชายโครงขวาด้านหน้าทั้งสองแห่งมีบาดแผลขนาด 0.5 เซนติเมตร ไม่มีความลึกแพทย์ลงความเห็นว่ารักษาหายภายใน 7 วัน แสดงให้เห็นว่ากระสุนปืนไม่มีความรุนแรงพอที่จะทำให้ผู้เสียหายถึงแก่ความตายได้อย่างแน่แท้ เพราะเหตุอาวุธปืนซึ่งเป็นปัจจัยที่ใช้ในการกระทำความผิดการกระทำของจำเลยจึงเป็นการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 (4) ประกอบ มาตรา 81 วรรคหนึ่ง เท่านั้น"
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 (4) ประกอบมาตรา 81 วรรคหนึ่ง, 52 จำคุก 4 ปี จำเลยให้การรับสารภาพลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 2 ปี เมื่อรวมกับโทษฐานมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองและฐานพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะ โดยไม่มีเหตุอันสมควรและไม่ได้รับใบอนุญาต แล้วเป็นจำคุก 2 ปี 9 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 6
ผู้พิพากษา
วิเทพ พัชรภิญโญพงศ์
วิธวิทย์ หิรัญรุจิพงศ์
สิทธิชัย รุ่งตระกูล

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ : 370/2527
คำพิพากษาย่อสั้น
จำเลยมีปากเสียงชกต่อย ค. ด้วยสาเหตุปักใจเชื่อว่า ค. เป็นคนร้ายฆ่าบิดาตน จำเลยสู้ไม่ได้และกลับไปก่อน ต่อมาอีก 30 นาที ค. ขี่รถจักรยานกลับบ้านมี ป. นั่งซ้อนท้ายไปด้วย จำเลยดักซุ่มอยู่ในป่าข้างทางใช้ปืนแก๊ปยาวที่ถือติดมือมายิง ค. แต่กระสุนปืนพลาดไปถูก ป. ตาย ดังนี้ เป็นการกระทำโดยไตร่ตรองไว้ก่อนจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289(4) ประกอบด้วยมาตรา 60

คำพิพากษาย่อยาว
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 289(4) ประกอบด้วย มาตรา 60 ให้ระวางโทษประหารชีวิต รับสารภาพลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุกตลอดชีวิต ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามมาตรา 288 จำคุก 10 ปี โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า "ข้อเท็จจริงตามที่โจทก์จำเลยนำสืบรับกันฟังได้ว่าในวันเกิดเหตุ นายคำพันธ์และจำเลยต่างไปช่วยเกี่ยวข้าวที่นานายเรียน เสร็จแล้วนายเรียนได้เลี้ยงอาหารและสุรา ในระหว่างดื่มสุรา จำเลยและนายคำพันธ์ พลชรินทร์ เกิดมีปากเสียงถึงขนาดชกต่อยกันด้วยสาเหตุจำเลยปักใจเชื่อว่านายคำพันธ์เป็นคนร้ายฆ่าบิดาตน จำเลยสู้นายคำพันธ์ไม่ได้ และได้กลับไปก่อนหน้านายคำพันธ์โดยถือปืนแก๊ปยาวไปด้วย และได้กล่าวอาฆาตว่าถ้าใครตามมาจะยิงหัวเอา หลังจากนั้นประมาณครึ่งชั่วโมง ขณะนายคำพันธ์ขี่รถจักรยานกลับบ้านโดยมีนางปนนั่งซ้อนท้ายไปด้วย จำเลยซึ่งดักซุ่มอยู่ในป่าข้างทางได้ใช้ปืนแก๊ปยาวที่ถือติดมือมายิงนายคำพันธ์ แต่กระสุนปืนพลาดไปถูกนางปนถึงแก่ความตายคดีคงมีปัญหาตามข้อฎีกาของโจทก์ว่าการกระทำผิดของจำเลยเป็นการกระทำโดยไตร่ตรองไว้ก่อนหรือไม่ เห็นว่าจำเลยมีความโกรธแค้นนายคำพันธ์มาก่อนไม่เพียงแต่สาเหตุที่จำเลยเชื่อว่านายคำพันธ์ฆ่าบิดาตนเท่านั้น และยังโกรธแค้นนายคำพันธ์ที่ชกต่อยจำเลยในวันเกิดเหตุโดยพูดอาฆาตว่า ถ้าใครตามมาจะยิงหัวเอา แล้วจำเลยก็กลับบ้านไปก่อน หลังจากนั้นประมาณ 30 นาที นายคำพันธ์ก็กลับบ้านโดยจำเลยทราบอยู่ก่อนแล้วว่า นายคำพันธ์จะต้องผ่านมาทางเดียวกับจำเลย การที่จำเลยหยุดคอยดักซุ่มอยู่เพื่อจะยิงนายคำพันธ์นั้น ย่อมเห็นได้ว่าจำเลยมีความเคียดแค้นคุกรุ่นอยู่ในใจตลอดมาในการตกลงใจกระทำความผิด การที่จำเลยใช้อาวุธปืนที่ติดมือมายิงนายคำพันธ์จึงมิใช่ยิงเพราะเกิดโทสะพลุ่งขึ้นเฉพาะหน้าในขณะนั้นเอง หากแต่คิดไตร่ตรองและตัดสินตกลงใจก่อนแล้วจึงลงมือกระทำความผิดในภายหลัง การกระทำผิดของจำเลยจึงเป็นการกระทำโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าการกระทำผิดของจำเลยเกิดขึ้นในขณะนั้นเอง หาได้มีการวางแผนไตร่ตรองไว้ก่อนแต่อย่างใดไม่นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยฎีกาโจทก์ฟังขึ้น"

พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 289(4) ประกอบด้วยมาตรา 60 ให้ลงโทษจำเลยตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

ผู้พิพากษา
สุทิน เลิศวิรุฬห์
อำนวย อินทุภูติ
ดำริ ศุภพิโรจน์

Visitor Statistics
» 1 Online
» 52 Today
» 81 Yesterday
» 52 Week
» 580 Month
» 2345 Year
» 69326 Total
Record: 15081 (20.04.2022)
Free PHP counter