คลังข้อสอบเก่า เนติบัณฑิต

(อาญา สมัยที่ 62)

การสอบข้อเขียนความรู้ชั้นเนติบัณฑิต ภาคหนึ่ง สมัยที่ 62 ปีการศึกษา 2552
กฎหมายอาญา กฎหมายภาษีอากร กฎหมายแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน
กฎหมายรัฐธรรมนูญ และกฎหมายปกครอง

วันอาทิตย์ 27 กันยายน 2552

คำถาม 10 ข้อ ให้เวลาตอบ 4 ชั่วโมง (14.00 น. ถึง 18.00 น.) ให้ยกเหตุผลประกอบคำตอบด้วย


ข้อ 1.
 คุณยังไม่ได้เข้าสู่ระบบ

ธงคำตอบ

คุณยังไม่ได้เข้าสู่ระบบ

คำอธิบาย

...

คำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้อง


ข้อ 2.
 คุณยังไม่ได้เข้าสู่ระบบ

ธงคำตอบ

คุณยังไม่ได้เข้าสู่ระบบ

คำอธิบาย

...

คำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้อง


คำพิพากษาศาลฎีกาที่ : 2548/2544
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ : 2548/2544
คำพิพากษาย่อสั้น
จำเลยยืนอยู่บนสะพานใช้ก้อนหินที่มีขนาดน้ำหนักถึง 1 กิโลกรัมเศษ และครึ่งกิโลกรัมจำนวนหลายก้อนทุ่มลงมาในหมู่ผู้เสียหายจำนวนมากที่อยู่ในเรือซึ่งมีพื้นที่จำกัดที่แล่นลอดใต้สะพาน จำเลยย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้นได้ว่าก้อนหินอาจถูกศีรษะซึ่งเป็นอวัยวะที่สำคัญของร่างกายเป็นผลทำให้ถึงตายได้ แต่จำเลยก็หาได้ใยดีต่อผลที่จะเกิดขึ้นไม่จึงถือได้ว่าจำเลยมีเจตนาฆ่า
คำพิพากษาย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับพวกที่หลบหนี โดยมีเจตนาฆ่าได้ใช้ก้อนหินขนาดหนัก 1 กิโลกรัม หนัก 700 กรัม และ 600 กรัมจำนวนหลายก้อน ซึ่งเป็นหินขนาดใหญ่และมีน้ำหนักมาก ทุ่มจากสะพานสูงลงไปในเรือที่แล่นลอดใต้สะพาน ถูกนายประสิทธิ์เกิดแสงดวง ผู้เสียหายที่ 1 ที่บริเวณริมฝีปาก และนายสมเจตน์แซ่ลิ้ม ผู้เสียหายที่ 2 ที่บริเวณหลังมือ ข้อมือซ้าย กระดูกนิ้วหักหลังมือนิ้วหัวแม่มือหัก ต้องป่วยเจ็บทุพพลภาพไม่สามารถประกอบกรณียกิจตามปกติได้เกินกว่ายี่สิบวัน จำเลยกับพวกกระทำความผิดไปตลอดแล้ว แต่การกระทำไม่บรรลุผลเนื่องจากก้อนหินถูกอวัยวะที่ไม่สำคัญทำให้ผู้เสียหายทั้งสองไม่ถึงแก่ความตาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288,80, 33 ริบของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณานายประสิทธิ์ เกิดแสงดวง ผู้เสียหายที่ 1นายสมเจตน์ แซ่ลิ้ม ผู้เสียหายที่ 2 ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297 (ที่ถูกมาตรา 297(8), 83)ให้ลงโทษจำคุก 1 ปี ริบของกลาง
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80, 83 ให้ลงโทษจำคุก10 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่าในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง ขณะที่โจทก์ร่วมทั้งสองนายศรีสมบัติ หลิมหอมกี่ และนางวิลัย รัตนากร กับพวกประมาณ 120 ถึง 200 คน นั่งอยู่ในเรือที่ใช้เดินทางไปทอดผ้าป่าที่วัดกลางเหนือ เมื่อเรือแล่นมาถึงสะพานสมเด็จพระอมรินทร์ ซึ่งเป็นสะพานข้ามแม่น้ำแม่กลองอยู่สูงจากระดับพื้นน้ำประมาณ 7.50 ถึง 8 เมตร มีคนร้ายใช้ก้อนหินที่มีน้ำหนักขนาด 1 กิโลกรัม 700 กรัมและ 600 กรัม จำนวนหลายก้อน ทุ่มมาจากบนสะพานลงไปในเรือถูกโจทก์ร่วมที่ 1 และโจทก์ร่วมที่ 2 เป็นเหตุให้โจทก์ร่วมทั้งสองได้รับบาดเจ็บสาหัส ปรากฏตามผลการตรวจชันสูตรบาดแผลของแพทย์เอกสารหมาย ปจ.1 และ ปจ.7 มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยเป็นคนร้ายรายนี้หรือไม่ โจทก์ร่วมทั้งสองกับนายศรีสมบัติ หลิมหอมกี่ และนางวิไล รัตนากร เบิกความเป็นพยานได้ความตรงกันว่า ก่อนเกิดเหตุเรือซึ่งจะไปทอดผ้าป่าที่วัดกลางเหนือได้มาจอดรถเพื่อซื้อตั๋วค่าผ่านทางที่ประตูน้ำบางนกแขวก ขณะที่รออยู่นั้นจำเลยกับพวกได้จุดพลุขว้างใส่เรือ จึงได้มีการเข้าไปต่อว่าจำเลยกับพวก พวกของจำเลยยกมือไหว้ขอโทษ ตรงกันข้ามกับจำเลยที่พูดท้าทายว่า "ขว้างแล้วมีอะไร" หลังจากชำระค่าผ่านทางเรียบร้อยแล้วเรือได้ออกเดินทางต่อจำเลยกับพวกมาดักที่สะพานสมเด็จพระอมรินทร์ซึ่งเป็นสะพานที่เรือจะต้องแล่นลอดผ่านไปแล้วทิ้งก้อนหินและพลุลงมายังเรือที่พยานโดยสารมา หินตกลงมาถูกมือของนายสมเจตน์ แซ่ลิ้มโจทก์ร่วมที่ 2 ได้รับบาดเจ็บปรากฏตามใบชันสูตรบาดแผลเอกสารหมาย ปจ.7 แต่ในครั้งนี้เรือไม่ได้จอดคงมุ่งหน้าไปถึงวัดกลางเหนือ ทำการทอดผ้าป่าเสร็จแล้วก็พากันเดินทางกลับโดยใช้เส้นทางเดิม เมื่อเรือแล่นมาถึงที่เดิมคือสะพานสมเด็จพระอมรินทร์ พบจำเลยกับพวกอยู่บนสะพานใช้ก้อนหินทุ่มลงมาหลายก้อน ก้อนหินที่ทุ่มลงมาถูกบริเวณปากของโจทก์ร่วมที่ 1ได้รับบาดเจ็บถึงฟันหัก ปรากฏตามผลการชันสูตรบาดแผลเอกสารหมาย ปจ.1 ข้อเท็จจริงได้ความจากพยานโจทก์และโจทก์ร่วมดังกล่าวต่อมาว่าหลังจากเรือแล่นผ่านสะพานสมเด็จพระอมรินทร์มาแล้ว จำเลยกับพวกยังไปดักอยู่ข้างหน้าบริเวณสะพานบางนกแขวกซึ่งห่างจากสะพานสมเด็จพระอมรินทร์ประมาณ 200 เมตร ข้อเท็จจริงตอนนี้โจทก์ร่วมทั้งสองเบิกความตรงกันว่า มีเรือของนายย่นแล่นมาพอดีและได้ใช้ไฟสปอทไลท์ส่องไปที่จำเลยกับพวกแล้วขึ้นไปช่วยกันไล่จับ แต่จำเลยกับพวกหลบหนีไปได้ จำเลยนำสืบปฏิเสธว่าไม่ใช่คนร้าย พิจารณาแล้วเห็นว่า ประจักษ์พยานโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสี่ปาก คือ โจทก์ร่วมทั้งสอง นายศรีสมบัติและนางวิไลต่างไม่เคยรู้จักหรือมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน จึงไม่มีเหตุระแวงสงสัยว่าจะเบิกความกลั่นแกล้งใส่ร้ายจำเลย ข้อเท็จจริงตามที่โจทก์ร่วมและจำเลยรับกันว่าก่อนเกิดเหตุได้มีการต่อว่ากันระหว่างพยานโจทก์และโจทก์ร่วมดังกล่าวกับจำเลยและพวกในข้อที่ว่า จำเลยกับพวกได้จุดพลุแล้วเหวี่ยงไปตกลงในเรือที่โจทก์ร่วมกับพวกนั่งมาถูกเด็กในเรือได้รับบาดเจ็บ แต่โจทก์ร่วมกับพวกก็ยังไม่เอาเรื่องโดยถือว่าจะมาทำบุญกัน แสดงว่าโจทก์ร่วมทั้งสองกับนายศรีสมบัติและนางวิไลซึ่งมาเบิกความเป็นพยานหาได้มีจิตใจที่จะอาฆาตมาดร้ายมุ่งที่จะเอาโทษกับจำเลยไม่ ทั้งเหตุการณ์ที่จำเลยกับพวกได้กระทำลงดังที่ประจักษ์พยานโจทก์และโจทก์ร่วมเบิกความยืนยันนั้น หาใช่เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งเดียวคราวเดียวแล้วสิ้นสุดลงไปไม่ หากแต่เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อเนื่องกันมาเริ่มแต่เมื่อเรือไปรอซื้อตั๋วผ่านทางที่ประตูน้ำบางนกแขวกแล้ว จำเลยมาดักรอก่อเหตุที่สะพานสมเด็จพระอมรินทร์ เมื่อเรือที่โจทก์ร่วมทั้งสองกับพวกโดยสารมาต้องแล่นลอดสะพานดังกล่าวเพื่อเดินทางไปทอดผ้าป่า เมื่อทอดผ้าป่าเสร็จเรือแล่นกลับใช้เส้นทางเดิม ปรากฏว่าจำเลยกับพวกไปดักรอก่อเหตุซ้ำที่จุดเดิมอีกคือที่สะพานสมเด็จพระอมรินทร์และจำเลยกับพวกก็หาได้หยุดยั้งที่จะกระทำความผิดไม่ โดยจำเลยกับพวกยังตามไปดักรอเพื่อก่อเหตุเช่นเดิมอีกที่สะพานบางนกแขวก แต่ในครั้งนี้มีเรือของพลเมืองดีผ่านเข้ามาช่วยทัน จำเลยกับพวกจึงหลบหนีไป เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดถือได้ว่าเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อเนื่องกันมาตลอดมีการพูดจาต่อว่ากันระหว่างประจักษ์พยานโจทก์และโจทก์ร่วมกับจำเลยด้วย กว่าเหตุการณ์จะสิ้นสุดลงจนกระทั่งจำเลยกับพวกหลบหนีไปนั้น เป็นเวลาที่นานพอควร และในคืนเกิดเหตุเป็นวันลอยกระทง ดวงจันทร์เต็มดวงทั้งยังได้ความจากพยานโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสองว่า ที่บริเวณราวสะพานสมเด็จพระอมรินทร์ทั้งสองด้านได้ติดไฟฟ้าส่องสว่าง เป็นหลอดไฟนีออน น่าเชื่อว่ามีแสงสว่างเพียงพอที่จะทำให้มองเห็นได้ชัดเจน จึงไม่มีข้อสงสัยว่าประจักษ์พยานโจทก์และโจทก์ร่วมจะจำคนร้ายหรือจำเลยผิดตัวไปได้ โจทก์ร่วมทั้งสองกับนายศรีสมบัติและนางวิไลเบิกความได้เชื่อมโยงกันสมเหตุผลมีน้ำหนักรับฟังได้เป็นมั่นคงว่าจำเลยเป็นคนร้ายรายนี้จริง พยานฐานที่อยู่ของจำเลยจึงไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์และโจทก์ร่วมดังวินิจฉัยมาได้ ส่วนที่จำเลยฎีกาว่าประจักษ์พยานของโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสองไม่น่าจะเห็นและจำคนร้ายได้ ล้วนแต่เป็นการคาดคะเนของจำเลยเองเพื่อให้ตนเองพ้นผิด หาทำให้คำเบิกความของพยานโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสองเสียน้ำหนักในการรับฟังไปไม่อนึ่ง พฤติการณ์ที่จำเลยใช้ก้อนหินซึ่งถึงแม้จะไม่ใช่อาวุธโดยสภาพแต่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าเป็นก้อนหินที่มีขนาดน้ำหนักถึง 1 กิโลกรัมเศษ และครึ่งกิโลกรัมจำนวนหลายก้อนทุ่มมาจากที่สูงลงมาในหมู่คนจำนวนมากที่อยู่ในพื้นที่จำกัดเช่นเรือที่เกิดเหตุเช่นนี้ จำเลยหรือบุคคลผู้อยู่ในฐานะเช่นเดียวกับจำเลยย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้นได้ว่าก้อนหินอาจจะไปถูกที่ศีรษะซึ่งเป็นอวัยวะที่สำคัญของร่างกายก็อาจเป็นผลทำให้ถึงตายได้ดังที่นายแพทย์วิชัย กิตติวัฒนกูล พยานโจทก์เบิกความแต่จำเลยก็หาได้ใยดีต่อผลที่จะเกิดขึ้นไม่ จึงถือว่าจำเลยมีเจตนาฆ่า ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษามานั้นชอบแล้วฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น"
พิพากษายืน
ผู้พิพากษา
พิชิต คำแฝง
ผล อนุวัตรนิติการ
สมศักดิ์ เนตรมัย


ข้อ 3.
 คุณยังไม่ได้เข้าสู่ระบบ

ธงคำตอบ

คุณยังไม่ได้เข้าสู่ระบบ

คำอธิบาย

...

คำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้อง


คำพิพากษาศาลฎีกาที่ : 234/2529
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ : 234/2529
คำพิพากษาย่อสั้น
จำเลยใช้ปืนยิงไปที่พื้นดินหนึ่งนัดในขณะที่ผู้เสียหายกำลังเดินไปหาจำเลยและอยู่ห่างจำเลยประมาณสองวาจำเลยย่อมเล็งเห็นผลแห่งการกระทำได้ว่ากระสุนปืนอาจถูกผู้เสียหายได้เมื่อกระสุนปืนถูกขาผู้เสียหายบาดเจ็บต้องถือว่าจำเลยมีเจตนาทำร้ายผู้เสียหายหาใช่เป็นการยิงขู่ไม่การกระทำของจำเลยดังกล่าวไม่เป็นการป้องกันโดยชอบเพราะขณะนั้นผู้เสียหายยังไม่สามารถจะทำร้ายจำเลยได้
คำพิพากษาย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานทำร้ายร่างกายนายจีระพล ทองเรือง และฐานพยายามฆ่านายสมชาย บัวนาค
จำเลยให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยตามฟ้อง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยมีความผิดฐานทำร้ายร่างกายนายสมชายส่วนข้อหาอื่นคงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าทางพิจารณาโจทก์นำสืบว่า เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2524 เวลาประมาณ 17 นาฬิกา มีการจัดงานเลี้ยงลูกเสือชาวบ้านที่สวนมะพร้าวชายหาด ริมทะเล บริเวณท่าเรือเฟอร์รีหมู่ที่ 2 ตำบลลิปะน้อย อำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี นายจีระพล ทองเรือง กับนายสมชาย บัวนาค ผู้เสียหายไปร่วมงานเลี้ยง และนั่งรวมกลุ่มรับประทานอาหาร และดื่มสุราอยู่ด้วยกันกับพรรคพวก 4-5 คน บริเวณงานจุดตะเกียงเจ้าพายุไว้ 2 ดวง ซึ่ง มีแสงสว่างเพียงพอมองเห็นได้ชัดในระยะใกล้เคียง เมื่อจวนจะเลิกงานเวลาประมาณ 23-24 นาฬิกา นายแดง จำเลย เดินมาที่กลุ่มผู้เสียหายแล้วหยิบเอาขวดสุราไป 1 ขวด นายจีระพล ได้ลุกขึ้นเดินตามไปทวงเอาสุราคืน จำเลยไม่ยอมคืน และใช้ขวดสุราตีนายจีระพล 1 ที ถูกที่หางคิ้วซ้ายจนเป็นเหตุให้นายจีระพล ล้มลงนั่ง นายสมชาย ลุกขึ้น และจะตามไปห้ามปราม แต่เดินไปได้ 2-3 ก้าว และ ยังอยู่ห่างประมาณ 2 วา จำเลยก็ชักปืนสั้นออกมายิง 1 นัด กระสุนปืนถูกนายสมชาย ที่หน้าแข้งขาขวาได้ รับบาดเจ็บ ตามรายงานผลการตรวจชันสูตรบาดแผล ท้ายฟ้อง
จำเลยนำสืบว่า คืนเกิดเหตุจำเลยไปร่วมงานเลี้ยงลูกเสือชาวบ้านจริง ตอนเลิกงานเวลา 24 นาฬิกา จำเลยลุกขึ้นยืนและหยิบเอาสุราขาวไปด้วย 1 ขวด แล้วเกิดเหตุคดีนี้เพราะนายจีระพลมาแย่งเอาสุราจากจำเลยตอนหลัง จำเลยเดินหนีไป นายสมชาย กับพวก 4-5 คนเดินตรงเข้ามาหาจำเลยโดยนายสมชายถือไม้โตขนาดเท่าแขนพร้อมกับเงื้อไม้เข้ามาด้วย จำเลยถอยหลังและร้องห้ามไม่ให้เข้ามาแต่นายสมชายกับพวกไม่เชื่อ และมีท่าทีจะเข้าทำร้ายจำเลยด้วย จำเลยจึงชักปืนออกมายิงขู่ลงไปที่พื้นดิน 1 นัดแล้ววิ่งหนีกลับบ้าน วันรุ่งขึ้นเวลาประมาณ 12 นาฬิกา จำเลยให้ภริยาไปทำความตกลงกับนายสมชายซึ่งเป็นญาติกันและนายสมชาย ก็ไม่ติดใจจะเอาความแต่อย่างใด
ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วชั้นนี้คดีมีปัญหาจะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยเพียงข้อเดียวว่า จำเลยใช้ปืนยิง 1 นัด เป็นความผิดฐานทำร้ายร่างกายนายสมชาย ผู้เสียหายด้วยหรือไม่ เห็นว่าแม้จำเลยจะใช้ปืนยิง 1 นัด ลงไปที่พื้นดิน แต่ขณะนั้นนายสมชาย ผู้เสียหายก็กำลังเดินเข้าไปหาจำเลย และอยู่ห่างประมาณ 2 วา จำเลยย่อมเล็งเห็นผลแห่งการกระทำได้ว่า กระสุนปืนอาจถูกผู้เสียหายได้ทั้งปรากฏว่ากระสุนปืนได้ถูกนายสมชาย ผู้เสียหายที่หน้าแข้งขาขวาได้รับอันตรายแก่กายถึงบาดเจ็บด้วย ต้องถือว่า จำเลยมีเจตนาทำร้ายนายสมชาย ผู้เสียหายแล้วหาใช่เป็นการยิงขู่ไม่ และการกระทำของจำเลยดังกล่าวไม่เข้าลักษณะเป็นการป้องกันตัว ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 68 ด้วย เพราะตอนนั้นนายสมชาย ผู้เสียหายอยู่ห่างจำเลยประมาณ 2 วา ยังไม่ สามารถจะทำร้ายจำเลยได้ ศาลอุทธรณ์พิพากษา ลงโทษจำเลยในข้อหาความผิดฐานทำร้ายร่างกายนายสมชาย ผู้เสียหาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 ชอบแล้วฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน
ผู้พิพากษา
ดำรง สายเชื้อ
อาจ ปัญญาดิลก
ไพจิตร วิเศษโกสิน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ : 1423/2535
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ : 1423/2535
คำพิพากษาย่อสั้น
พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลคดีเด็กและเยาวชน พ.ศ. 2494 มาตรา 8 (1) กำหนดให้ศาลคดีเด็กและเยาวชนมีอำนาจเช่นเดียวกับศาลจังหวัดในคดีอาญาที่มีข้อหาว่า เด็กหรือเยาวชนกระทำการอันกฎหมายบัญญัติเป็นความผิดเว้นแต่คดีอาญาที่มีข้อหาว่า เยาวชนซึ่งอายุเกินสิบหกปีบริบูรณ์กระทำความผิดในเหตุฉกรรจ์บางประเภทตามที่ระบุไว้รวมทั้งความผิดฐานปล้นทรัพย์ตามมาตรา 340 แห่งประมวลกฎหมายอาญา เมื่อจำเลยที่ 5 มีอายุเกินกว่าสิบหกปีบริบูรณ์และกระทำความผิดฐานปล้นทรัพย์ แม้จะกระทำความผิดในท้องที่ที่มีศาลคดีเด็กและเยาวชนเปิดดำเนินการแล้วก็ตาม เมื่อเป็นความผิดที่ไม่อยู่ในอำนาจของศาลคดีเด็กและเยาวชน ศาลชั้นต้นจึงมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนี้ จำเลยที่ 5 ร่วมกับพวกอีก 4 คน พากันขึ้นไปบนรถยนต์โดยสารขณะที่พวกจำเลยทำการปล้นทรัพย์ผู้เสียหายอยู่นั้น จำเลยที่ 5 ยืนโหนบันไดรถบังไม่ให้คนอื่นเห็นการปล้นทรัพย์ที่พวกจำเลยกระทำอยู่เป็นการร่วมกระทำความผิดโดยแบ่งหน้าที่กันทำ จำเลยที่ 5จึงเป็นตัวการร่วมในความผิดฐานปล้นทรัพย์ การกำหนดโทษและการไม่ลดมาตราส่วนโทษให้จำเลย สำหรับความผิดที่ร่วมกันเป็นตัวการปล้นทรัพย์ เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนและเป็นเหตุในลักษณะคดี เมื่อศาลฎีกาพิพากษาลดมาตราส่วนโทษและลดโทษให้จำเลยที่ฎีกา ย่อมมีอำนาจพิพากษาเลยไปถึงจำเลยที่มิได้ฎีกาด้วยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 213 ประกอบมาตรา 225
คำพิพากษาย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งห้าโดยจำเลยที่ 3 มีมีดเป็นอาวุธร่วมกันปล้นทรัพย์ผู้เสียหาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 340, 371, 83 คืนของกลางแก่เจ้าของ ริบมีดปลายแหลม และให้จำเลยทั้งห้าร่วมกันคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืนแก่ผู้เสียหาย
จำเลยทั้งห้าให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งห้ามีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรคสอง, 83 จำเลยที่ 3 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371 อีกกระทงหนึ่ง จำเลยที่ 5กระทำผิดเมื่ออายุ 17 ปีเศษ มีความรู้สึกผิดชอบชั่วดีแล้วไม่ลดมาตราส่วนโทษให้ วางโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 4 และที่ 5 คนละ 15 ปี จำเลยที่ 3 เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91 ฐานปล้นทรัพย์ จำคุก 15 ปี ฐานพาอาวุธมีดไปในเมืองโดยไม่มีเหตุสมควรปรับ 90 บาท ทางนำสืบของจำเลยทุกคนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 ลดโทษให้จำเลยคนละหนึ่งในสามแล้วคงจำคุกจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 4 และที่ 5 คนละ 10 ปี จำเลยที่ 3 จำคุก 10 ปีและปรับ 60 บาท คืนนาฬิกาของกลางให้แก่ผู้เสียหายที่ 2 ริบมีดปลายแหลม คำขอนอกจากนี้ให้ยก บังคับค่าปรับจำเลยที่ 3 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30
จำเลยที่ 4 และที่ 5 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 5 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่า พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลคดีเด็กและเยาวชน พ.ศ. 2494 มาตรา 8 (1) กำหนดให้ศาลคดีเด็กและเยาวชนมีอำนาจเช่นเดียวกับศาลจังหวัดในคดีอาญาที่มีข้อหาว่า เด็กหรือเยาวชนกระทำการอันกฎหมายบัญญัติเป็นความผิดเว้นแต่คดีอาญาที่มีข้อหาว่า เยาวชนซึ่งอายุเกินสิบหกปีบริบูรณ์กระทำความผิดในเหตุฉกรรจ์บางประเภทตามที่ระบุไว้รวมทั้งความผิดฐานปล้นทรัพย์ตามมาตรา 340 แห่งประมวลกฎหมายอาญา เมื่อจำเลยที่ 5 มีอายุเกินกว่าสิบหกปีบริบูรณ์และกระทำความผิดฐานปล้นทรัพย์แม้จะกระทำความผิดในท้องที่ที่มีศาลคดีเด็กและเยาวชนเปิดดำเนินการแล้วก็ตาม เมื่อเป็นความผิดที่ไม่อยู่ในอำนาจของศาลคดีเด็กและเยาวชนศาลชั้นต้นจึงมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนี้
จำเลยที่ 5 ร่วมกับพวกอีก 4 คน พากันขึ้นไปบนรถยนต์โดยสารขณะที่พวกจำเลยทำการปล้นทรัพย์ผู้เสียหายอยู่นั้น จำเลยที่ 5 ยืนโหนบันไดรถบังไม่ให้คนอื่นเห็นการปล้นทรัพย์ที่พวกจำเลยกระทำอยู่เป็นการร่วมกระทำความผิดโดยแบ่งหน้าที่กันทำ จำเลยที่ 5 จึงเป็นตัวการร่วมในความผิดฐานปล้นทรัพย์
การกำหนดโทษและการไม่ลดมาตราส่วนโทษให้จำเลย สำหรับความผิดที่ร่วมกันเป็นตัวการปล้นทรัพย์ เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน และเป็นเหตุในลักษณะคดี เมื่อศาลฎีกาพิพากษาลดมาตราส่วนโทษและลดโทษให้จำเลยที่ฎีกาย่อมมีอำนาจพิพากษาเลยไปถึงจำเลยที่มิได้ฎีกาด้วย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 213 ประกอบมาตรา 225
พิพากษาแก้เป็นว่า ในความผิดฐานปล้นทรัพย์ลดมาตราส่วนโทษให้จำเลยทั้งห้าคนละหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 76 ให้จำคุกคนละ 8 ปี คำให้การในชั้นสอบสวนและทางนำสืบของจำเลยทั้งห้าเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษตามมาตรา 78 ลดโทษให้คนละหนึ่งในสาม คงจำคุกจำเลยทั้งห้าคนละ 5 ปี 4 เดือนนอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
ผู้พิพากษา
เพ็ง เพ็งนิติ
เจริญ นิลเอสงฆ์
บุญธรรม อยู่พุก


ข้อ 4.
 คุณยังไม่ได้เข้าสู่ระบบ

ธงคำตอบ

คุณยังไม่ได้เข้าสู่ระบบ

คำอธิบาย

...

คำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้อง


ข้อ 5.
 คุณยังไม่ได้เข้าสู่ระบบ

ธงคำตอบ

คุณยังไม่ได้เข้าสู่ระบบ

คำอธิบาย

...

คำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้อง


ข้อ 6.
 คุณยังไม่ได้เข้าสู่ระบบ

ธงคำตอบ

คุณยังไม่ได้เข้าสู่ระบบ

คำอธิบาย

...

คำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้อง


ข้อ 7.
 คุณยังไม่ได้เข้าสู่ระบบ

ธงคำตอบ

คุณยังไม่ได้เข้าสู่ระบบ

คำอธิบาย

...

คำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้อง


ข้อ 8.
 คุณยังไม่ได้เข้าสู่ระบบ

ธงคำตอบ

คุณยังไม่ได้เข้าสู่ระบบ

คำอธิบาย

...

คำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้อง


ข้อ 9.
 คุณยังไม่ได้เข้าสู่ระบบ

ธงคำตอบ

คุณยังไม่ได้เข้าสู่ระบบ

คำอธิบาย

...

คำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้อง


ข้อ 10.
 คุณยังไม่ได้เข้าสู่ระบบ

ธงคำตอบ

คุณยังไม่ได้เข้าสู่ระบบ

คำอธิบาย

...

คำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้อง

Visitor Statistics
» 1 Online
» 1 Today
» 41 Yesterday
» 42 Week
» 477 Month
» 1727 Year
» 68708 Total
Record: 15081 (20.04.2022)
Free PHP counter