คลังข้อสอบเก่า เนติบัณฑิต

(อาญา สมัยที่ 62)

 

การสอบข้อเขียนความรู้ชั้นเนติบัณฑิต ภาคหนึ่ง สมัยที่ 62 ปีการศึกษา 2552
กฎหมายอาญา กฎหมายภาษีอากร กฎหมายแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน
กฎหมายรัฐธรรมนูญ และกฎหมายปกครอง

วันอาทิตย์ 27 กันยายน 2552

คำถาม 10 ข้อ ให้เวลาตอบ 4 ชั่วโมง (14.00 น. ถึง 18.00 น.) ให้ยกเหตุผลประกอบคำตอบด้วย

 


ข้อ 2.  คุณยังไม่ได้เข้าสู่ระบบ

ธงคำตอบ

คุณยังไม่ได้เข้าสู่ระบบ

คำอธิบาย

...

คำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้อง


คำพิพากษาศาลฎีกาที่ : 2548/2544
คำพิพากษาย่อสั้น
จำเลยยืนอยู่บนสะพานใช้ก้อนหินที่มีขนาดน้ำหนักถึง 1 กิโลกรัมเศษ และครึ่งกิโลกรัมจำนวนหลายก้อนทุ่มลงมาในหมู่ผู้เสียหายจำนวนมากที่อยู่ในเรือซึ่งมีพื้นที่จำกัดที่แล่นลอดใต้สะพาน จำเลยย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้นได้ว่าก้อนหินอาจถูกศีรษะซึ่งเป็นอวัยวะที่สำคัญของร่างกายเป็นผลทำให้ถึงตายได้ แต่จำเลยก็หาได้ใยดีต่อผลที่จะเกิดขึ้นไม่จึงถือได้ว่าจำเลยมีเจตนาฆ่า
คำพิพากษาย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับพวกที่หลบหนี โดยมีเจตนาฆ่าได้ใช้ก้อนหินขนาดหนัก 1 กิโลกรัม หนัก 700 กรัม และ 600 กรัมจำนวนหลายก้อน ซึ่งเป็นหินขนาดใหญ่และมีน้ำหนักมาก ทุ่มจากสะพานสูงลงไปในเรือที่แล่นลอดใต้สะพาน ถูกนายประสิทธิ์เกิดแสงดวง ผู้เสียหายที่ 1 ที่บริเวณริมฝีปาก และนายสมเจตน์แซ่ลิ้ม ผู้เสียหายที่ 2 ที่บริเวณหลังมือ ข้อมือซ้าย กระดูกนิ้วหักหลังมือนิ้วหัวแม่มือหัก ต้องป่วยเจ็บทุพพลภาพไม่สามารถประกอบกรณียกิจตามปกติได้เกินกว่ายี่สิบวัน จำเลยกับพวกกระทำความผิดไปตลอดแล้ว แต่การกระทำไม่บรรลุผลเนื่องจากก้อนหินถูกอวัยวะที่ไม่สำคัญทำให้ผู้เสียหายทั้งสองไม่ถึงแก่ความตาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288,80, 33 ริบของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณานายประสิทธิ์ เกิดแสงดวง ผู้เสียหายที่ 1นายสมเจตน์ แซ่ลิ้ม ผู้เสียหายที่ 2 ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297 (ที่ถูกมาตรา 297(8), 83)ให้ลงโทษจำคุก 1 ปี ริบของกลาง
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80, 83 ให้ลงโทษจำคุก10 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่าในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง ขณะที่โจทก์ร่วมทั้งสองนายศรีสมบัติ หลิมหอมกี่ และนางวิลัย รัตนากร กับพวกประมาณ 120 ถึง 200 คน นั่งอยู่ในเรือที่ใช้เดินทางไปทอดผ้าป่าที่วัดกลางเหนือ เมื่อเรือแล่นมาถึงสะพานสมเด็จพระอมรินทร์ ซึ่งเป็นสะพานข้ามแม่น้ำแม่กลองอยู่สูงจากระดับพื้นน้ำประมาณ 7.50 ถึง 8 เมตร มีคนร้ายใช้ก้อนหินที่มีน้ำหนักขนาด 1 กิโลกรัม 700 กรัมและ 600 กรัม จำนวนหลายก้อน ทุ่มมาจากบนสะพานลงไปในเรือถูกโจทก์ร่วมที่ 1 และโจทก์ร่วมที่ 2 เป็นเหตุให้โจทก์ร่วมทั้งสองได้รับบาดเจ็บสาหัส ปรากฏตามผลการตรวจชันสูตรบาดแผลของแพทย์เอกสารหมาย ปจ.1 และ ปจ.7 มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยเป็นคนร้ายรายนี้หรือไม่ โจทก์ร่วมทั้งสองกับนายศรีสมบัติ หลิมหอมกี่ และนางวิไล รัตนากร เบิกความเป็นพยานได้ความตรงกันว่า ก่อนเกิดเหตุเรือซึ่งจะไปทอดผ้าป่าที่วัดกลางเหนือได้มาจอดรถเพื่อซื้อตั๋วค่าผ่านทางที่ประตูน้ำบางนกแขวก ขณะที่รออยู่นั้นจำเลยกับพวกได้จุดพลุขว้างใส่เรือ จึงได้มีการเข้าไปต่อว่าจำเลยกับพวก พวกของจำเลยยกมือไหว้ขอโทษ ตรงกันข้ามกับจำเลยที่พูดท้าทายว่า "ขว้างแล้วมีอะไร" หลังจากชำระค่าผ่านทางเรียบร้อยแล้วเรือได้ออกเดินทางต่อจำเลยกับพวกมาดักที่สะพานสมเด็จพระอมรินทร์ซึ่งเป็นสะพานที่เรือจะต้องแล่นลอดผ่านไปแล้วทิ้งก้อนหินและพลุลงมายังเรือที่พยานโดยสารมา หินตกลงมาถูกมือของนายสมเจตน์ แซ่ลิ้มโจทก์ร่วมที่ 2 ได้รับบาดเจ็บปรากฏตามใบชันสูตรบาดแผลเอกสารหมาย ปจ.7 แต่ในครั้งนี้เรือไม่ได้จอดคงมุ่งหน้าไปถึงวัดกลางเหนือ ทำการทอดผ้าป่าเสร็จแล้วก็พากันเดินทางกลับโดยใช้เส้นทางเดิม เมื่อเรือแล่นมาถึงที่เดิมคือสะพานสมเด็จพระอมรินทร์ พบจำเลยกับพวกอยู่บนสะพานใช้ก้อนหินทุ่มลงมาหลายก้อน ก้อนหินที่ทุ่มลงมาถูกบริเวณปากของโจทก์ร่วมที่ 1ได้รับบาดเจ็บถึงฟันหัก ปรากฏตามผลการชันสูตรบาดแผลเอกสารหมาย ปจ.1 ข้อเท็จจริงได้ความจากพยานโจทก์และโจทก์ร่วมดังกล่าวต่อมาว่าหลังจากเรือแล่นผ่านสะพานสมเด็จพระอมรินทร์มาแล้ว จำเลยกับพวกยังไปดักอยู่ข้างหน้าบริเวณสะพานบางนกแขวกซึ่งห่างจากสะพานสมเด็จพระอมรินทร์ประมาณ 200 เมตร ข้อเท็จจริงตอนนี้โจทก์ร่วมทั้งสองเบิกความตรงกันว่า มีเรือของนายย่นแล่นมาพอดีและได้ใช้ไฟสปอทไลท์ส่องไปที่จำเลยกับพวกแล้วขึ้นไปช่วยกันไล่จับ แต่จำเลยกับพวกหลบหนีไปได้ จำเลยนำสืบปฏิเสธว่าไม่ใช่คนร้าย พิจารณาแล้วเห็นว่า ประจักษ์พยานโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสี่ปาก คือ โจทก์ร่วมทั้งสอง นายศรีสมบัติและนางวิไลต่างไม่เคยรู้จักหรือมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน จึงไม่มีเหตุระแวงสงสัยว่าจะเบิกความกลั่นแกล้งใส่ร้ายจำเลย ข้อเท็จจริงตามที่โจทก์ร่วมและจำเลยรับกันว่าก่อนเกิดเหตุได้มีการต่อว่ากันระหว่างพยานโจทก์และโจทก์ร่วมดังกล่าวกับจำเลยและพวกในข้อที่ว่า จำเลยกับพวกได้จุดพลุแล้วเหวี่ยงไปตกลงในเรือที่โจทก์ร่วมกับพวกนั่งมาถูกเด็กในเรือได้รับบาดเจ็บ แต่โจทก์ร่วมกับพวกก็ยังไม่เอาเรื่องโดยถือว่าจะมาทำบุญกัน แสดงว่าโจทก์ร่วมทั้งสองกับนายศรีสมบัติและนางวิไลซึ่งมาเบิกความเป็นพยานหาได้มีจิตใจที่จะอาฆาตมาดร้ายมุ่งที่จะเอาโทษกับจำเลยไม่ ทั้งเหตุการณ์ที่จำเลยกับพวกได้กระทำลงดังที่ประจักษ์พยานโจทก์และโจทก์ร่วมเบิกความยืนยันนั้น หาใช่เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งเดียวคราวเดียวแล้วสิ้นสุดลงไปไม่ หากแต่เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อเนื่องกันมาเริ่มแต่เมื่อเรือไปรอซื้อตั๋วผ่านทางที่ประตูน้ำบางนกแขวกแล้ว จำเลยมาดักรอก่อเหตุที่สะพานสมเด็จพระอมรินทร์ เมื่อเรือที่โจทก์ร่วมทั้งสองกับพวกโดยสารมาต้องแล่นลอดสะพานดังกล่าวเพื่อเดินทางไปทอดผ้าป่า เมื่อทอดผ้าป่าเสร็จเรือแล่นกลับใช้เส้นทางเดิม ปรากฏว่าจำเลยกับพวกไปดักรอก่อเหตุซ้ำที่จุดเดิมอีกคือที่สะพานสมเด็จพระอมรินทร์และจำเลยกับพวกก็หาได้หยุดยั้งที่จะกระทำความผิดไม่ โดยจำเลยกับพวกยังตามไปดักรอเพื่อก่อเหตุเช่นเดิมอีกที่สะพานบางนกแขวก แต่ในครั้งนี้มีเรือของพลเมืองดีผ่านเข้ามาช่วยทัน จำเลยกับพวกจึงหลบหนีไป เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดถือได้ว่าเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อเนื่องกันมาตลอดมีการพูดจาต่อว่ากันระหว่างประจักษ์พยานโจทก์และโจทก์ร่วมกับจำเลยด้วย กว่าเหตุการณ์จะสิ้นสุดลงจนกระทั่งจำเลยกับพวกหลบหนีไปนั้น เป็นเวลาที่นานพอควร และในคืนเกิดเหตุเป็นวันลอยกระทง ดวงจันทร์เต็มดวงทั้งยังได้ความจากพยานโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสองว่า ที่บริเวณราวสะพานสมเด็จพระอมรินทร์ทั้งสองด้านได้ติดไฟฟ้าส่องสว่าง เป็นหลอดไฟนีออน น่าเชื่อว่ามีแสงสว่างเพียงพอที่จะทำให้มองเห็นได้ชัดเจน จึงไม่มีข้อสงสัยว่าประจักษ์พยานโจทก์และโจทก์ร่วมจะจำคนร้ายหรือจำเลยผิดตัวไปได้ โจทก์ร่วมทั้งสองกับนายศรีสมบัติและนางวิไลเบิกความได้เชื่อมโยงกันสมเหตุผลมีน้ำหนักรับฟังได้เป็นมั่นคงว่าจำเลยเป็นคนร้ายรายนี้จริง พยานฐานที่อยู่ของจำเลยจึงไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์และโจทก์ร่วมดังวินิจฉัยมาได้ ส่วนที่จำเลยฎีกาว่าประจักษ์พยานของโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสองไม่น่าจะเห็นและจำคนร้ายได้ ล้วนแต่เป็นการคาดคะเนของจำเลยเองเพื่อให้ตนเองพ้นผิด หาทำให้คำเบิกความของพยานโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสองเสียน้ำหนักในการรับฟังไปไม่อนึ่ง พฤติการณ์ที่จำเลยใช้ก้อนหินซึ่งถึงแม้จะไม่ใช่อาวุธโดยสภาพแต่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าเป็นก้อนหินที่มีขนาดน้ำหนักถึง 1 กิโลกรัมเศษ และครึ่งกิโลกรัมจำนวนหลายก้อนทุ่มมาจากที่สูงลงมาในหมู่คนจำนวนมากที่อยู่ในพื้นที่จำกัดเช่นเรือที่เกิดเหตุเช่นนี้ จำเลยหรือบุคคลผู้อยู่ในฐานะเช่นเดียวกับจำเลยย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้นได้ว่าก้อนหินอาจจะไปถูกที่ศีรษะซึ่งเป็นอวัยวะที่สำคัญของร่างกายก็อาจเป็นผลทำให้ถึงตายได้ดังที่นายแพทย์วิชัย กิตติวัฒนกูล พยานโจทก์เบิกความแต่จำเลยก็หาได้ใยดีต่อผลที่จะเกิดขึ้นไม่ จึงถือว่าจำเลยมีเจตนาฆ่า ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษามานั้นชอบแล้วฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น"
พิพากษายืน
ผู้พิพากษา
พิชิต คำแฝง
ผล อนุวัตรนิติการ
สมศักดิ์ เนตรมัย

Visitor Statistics
» 1 Online
» 1 Today
» 30 Yesterday
» 1 Week
» 184 Month
» 1949 Year
» 68930 Total
Record: 15081 (20.04.2022)
Free PHP counter