คลังข้อสอบเก่า เนติบัณฑิต

(อาญา สมัยที่ 59)

 

การสอบข้อเขียนความรู้ชั้นเนติบัณฑิต ภาคหนึ่ง สมัยที่ 59 ปีการศึกษา 2549
กฎหมายอาญา กฎหมายภาษีอากร กฎหมายแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน
กฎหมายรัฐธรรมนูญ และกฎหมายปกครอง

วันอาทิตย์ 24 กันยายน 2549

คำถาม 10 ข้อ ให้เวลาตอบ 4 ชั่วโมง (14.00 น. ถึง 18.00 น.) ให้ยกเหตุผลประกอบคำตอบด้วย

 


ข้อ 5.  คุณยังไม่ได้เข้าสู่ระบบ

ธงคำตอบ

คุณยังไม่ได้เข้าสู่ระบบ

คำอธิบาย

...

คำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้อง


คำพิพากษาศาลฎีกาที่ : 375/2533
คำพิพากษาย่อสั้น
เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่า จำเลยที่ 1 กับพวกอีก 2 คนเข้าไปในบ้านและพยายามลักทรัพย์ของผู้เสียหาย แล้วพวกของจำเลยดังกล่าวได้ใช้กำลังประทุษร้ายผู้เสียหายจนได้รับอันตรายแก่กายเพื่อสะดวกในการลักทรัพย์ หรือพาทรัพย์ไปแต่ไม่สามารถพาทรัพย์นั้นไปได้ เพราะมีผู้มาพบเห็นเสียก่อน ดังนี้การที่พวกของจำเลยที่ 1 ใช้กำลังประทุษร้ายผู้เสียหายดังกล่าว จึงมิได้นอกเหนือความมุ่งหมายหรือเจตนาของจำเลยที่ 1 แต่อย่างใด การกระทำของจำเลยที่ 1 กับพวกจึงเป็นความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรคแรก 80.
คำพิพากษาย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340,340 ตรี, 295, 371, 83, 91, 32 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2526 มาตรา 4 ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 ลงวันที่ 21 พฤศจิกายน 2514 ข้อ 14, 15พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิคำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ 44 ลงวันที่ 21 ตุลาคม2519 ข้อ 3, 6, 7 และสั่งริบกระสุนปืนของกลาง
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 335(1) (7) (8), 83, 80 จำคุก 3 ปี จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 2 ปีข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยกริบกระสุนปืนของกลาง ยกฟ้องจำเลยที่ 2
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรคแรก ประกอบด้วยมาตรา 80 จำคุก 8 ปีจำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาเป็นเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสาม ตามมาตรา 78 คงจำคุก 5 ปี 4 เดือน นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นรับฟังตามที่โจทก์นำสืบได้ว่า วันเกิดเหตุ นางหนูแดงภรรยาของผู้เสียหายยืนอยู่ชั้นบนมองลงไปเห็นจำเลยที่ 1 ยืนอยู่ที่ประตูเข้าบ้าน เมื่อลงมาชั้นล่างเห็นคนร้ายอีก 2 คน และเห็นผู้เสียหายมีบาดแผลที่ใบหน้า คนร้าย 2 คน จะเอาเครื่องวีดีโอเพราะมีผ้าขาวม้าสอดอยู่ข้างใต้ นางหนูแดงร้องขอความช่วยเหลือ จำเลยที่ 1กับคนร้ายอีก 2 คน วิ่งหนีภายหลังเจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยที่ 1ได้ที่ตึกสร้างใหม่ จำเลยที่ 1 รับว่าร่วมกับพวกปล้นทรัพย์บ้านผู้เสียหายและได้พาเจ้าพนักงานตำรวจไปจับจำเลยที่ 2 ได้ที่จังหวัดราชบุรี จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพ มีปัญหาตามที่จำเลยที่ 1ฎีกาว่า จำเลยที่ 1 ร่วมทำความผิดฐานพยายามปล้นทรัพย์จริงหรือไม่โจทก์มีพยาน คือ ร้อยตำรวจตรีสมบูรณ์ สมทรง ผู้จับกุมจำเลยที่ 1เบิกความว่า เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2530 เวลา 1.30 นาฬิกา พยานกับพวกได้ออกตรวจท้องที่ เมื่อไปถึงปากซอย 10 หมู่บ้านเศรษฐกิจได้รับแจ้งจากชาวบ้านว่า มีเสียงร้องขอความช่วยเหลือจากบ้านเลขที่56 พยานกับพวกได้ไปที่บ้านดังกล่าวพบผู้เสียหายอยู่ในอาการตกใจและมีบาดแผลที่ใบหน้า สอบถามได้ความว่ามีคนร้าย 3 คน เข้าไปในบ้านเพื่อจะเอาเครื่องวีดีโอผู้เสียหายต่อสู้ คนร้ายหลบหนีไปได้สอบถามชาวบ้านแล้วทราบว่าคนร้ายหนีไปอยู่ในตึกสร้างใหม่บริเวณปากซอย พยานกับพวกตามไปจับจำเลยที่ 1 ได้ เมื่อแจ้งข้อหาว่าจำเลยที่ 1 ร่วมกับพวกปล้นทรัพย์ จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพดังนี้จะเห็นได้ว่าร้อยตำรวจตรีสมบูรณ์เบิกความสอดคล้องกับคำเบิกความของนางหนูแดงภรรยาผู้เสียหาย เพราะนางหนูแดงเมื่อได้ยินเสียงผู้เสียหายร้องจึงลุกขึ้นและเปิดหน้าต่างมองลงไปเห็นจำเลยที่ 1ยืนอยู่ที่หน้าประตูบ้าน เพราะมีแสงไฟนีออนติดอยู่ที่รั้วบ้านห่างจากประตูบ้านประมาณ 3-4 เมตร ปรากฏตามแผนที่สังเขปแสดงบริเวณที่เกิดเหตุแม้นางหนูแดงเบิกความตอบคำถามค้านว่า จำเลยที่ 1 นั่งบังรถกระบะที่จอดอยู่ และไฟประตูรั้วไม่สว่างนัก แต่นางหนูแดงยืนยันว่าเห็นและจำได้แน่ว่าเป็นจำเลยที่ 1 เพราะนางหนูแดงเคยรู้จักจำเลยที่ 1 มาก่อนเกิดเหตุ จำเลยที่ 1 เคยเป็นลูกจ้างของบุตรชายของตนมาประมาณ 5 เดือน ได้ออกไปก่อนเกิดเหตุประมาณ 2 ปีเมื่อเกิดเหตุแล้วร้อยตำรวจตรีสมบูรณ์จับจำเลยที่ 1 ได้หลังเกิดเหตุเล็กน้อยในขณะที่จำเลยที่ 1 ซ่อนตัวอยู่ในตึกสร้างใหม่บริเวณปากซอย ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 กับพวกเข้ามาในบ้านผู้เสียหายเพื่อลักเครื่องวีดีโอ เมื่อนางหนูแดงร้องขึ้น จำเลยที่ 1กับพวกหลบหนี ส่วนที่จำเลยที่ 1 นำสืบว่าไม่ได้เข้าไปในบ้านผู้เสียหายนั้น ไม่น่าเชื่อ เพราะนางหนูแดงรู้จักจำเลยที่ 1 มาก่อนร้อยตำรวจตรีสมบูรณ์ผู้จับจำเลยที่ 1 ไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยที่ 1 มาก่อน จึงไม่มีเหตุที่จะแกล้งเบิกความปรักปรำจำเลยที่ 1 เพื่อให้ได้รับโทษ ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า ผู้เสียหายป่วยเป็นโรคประสาท พูดไม่ค่อยรู้เรื่อง และความจำเสื่อม จึงไม่น่าเชื่อว่าผู้เสียหายจะจำได้นั้น เห็นว่า แม้ผู้เสียหายจะเบิกความไม่รู้เรื่องบ้างก็ตาม แต่ผู้เสียหายยืนยันว่าถูกคนร้ายทำร้ายได้รับบาดเจ็บซึ่งตรงกับที่นางหนูแดงเบิกความว่า เมื่อลงมาเห็นผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บที่ใบหน้าและเห็นคนร้าย 2 คนอยู่ในห้องเดียวกับผู้เสียหาย เมื่อนางหนูแดงร้องขอความช่วยเหลือคนร้าย 2 คน และจำเลยที่ 1 จึงหนีไปด้วยกันจึงเชื่อได้ว่าคนร้าย 2 คนนั้นได้ทำร้ายผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บ ปรากฏตามรายงานการตรวจชันสูตรบาดแผลของแพทย์ท้ายฟ้องที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่าการกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 (1) (7) (8), 83, 80 เท่านั้น เห็นว่าเมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 กับคนร้ายอีก 2 คน มีเจตนาเข้าไปในบ้านและพยายามลักทรัพย์ของผู้เสียหายไปนั้น คนร้ายที่เข้าไปในบ้านได้ใช้กำลังประทุษร้ายผู้เสียหายจนได้รับอันตรายแก่กายก็เพื่อความสะดวกแก่การลักทรัพย์หรือพาทรัพย์นั้นไป แต่ไม่สามารถพาทรัพย์นั้นไปได้เพราะมีผู้มาพบเห็นเสียก่อน ดังนั้นการที่พวกของจำเลยที่ 1 ใช้กำลังประทุษร้ายผู้เสียหายเพื่อจะลักทรัพย์ไปนั้นไม่อยู่นอกเหนือความมุ่งหมายหรือเจตนาของจำเลยที่ 1แต่อย่างไร การกระทำของจำเลยที่ 1 กับพวก จึงเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 340 วรรคแรก, 80..."
พิพากษายืน
ผู้พิพากษา
อุไร คังคะเกตุ
ประวิทย์ ขัมภรัตน์
สุวิทย์ ธีรพงษ์

Visitor Statistics
» 2 Online
» 14 Today
» 39 Yesterday
» 94 Week
» 14 Month
» 1779 Year
» 68760 Total
Record: 15081 (20.04.2022)
Free PHP counter