คลังข้อสอบเก่า เนติบัณฑิต

(อาญา สมัยที่ 56)

 

การสอบข้อเขียนความรู้ชั้นเนติบัณฑิต ภาคหนึ่ง สมัยที่ 56 ปีการศึกษา 2546
กฎหมายอาญา กฎหมายภาษีอากร กฎหมายแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน
กฎหมายรัฐธรรมนูญ และกฎหมายปกครอง

วันอาทิตย์ 5 ตุลาคม 2546

คำถาม 10 ข้อ ให้เวลาตอบ 4 ชั่วโมง (14.00 น. ถึง 18.00 น.) ให้ยกเหตุผลประกอบคำตอบด้วย

 


ข้อ 6.  คุณยังไม่ได้เข้าสู่ระบบ

ธงคำตอบ

คุณยังไม่ได้เข้าสู่ระบบ

คำอธิบาย

...

คำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้อง


คำพิพากษาศาลฎีกาที่ : 5554/2545
การที่จำเลยทั้งสองร่วมกันพรากเด็กอายุ 6 ปีเศษ ไปจากบิดามารดาผู้ปกครองเพื่อหากำไรและร่วมกันหน่วงเหนี่ยวกักขังเด็กไว้เพื่อให้ได้มาซึ่งค่าไถ่ โดยจำเลยทั้งสองมุ่งประสงค์เรียกค่าไถ่เป็นสำคัญ การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงเป็นความผิดกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทคือ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 313 วรรคแรก บทหนึ่ง และตามมาตรา 317 วรรคสาม อีกบทหนึ่ง ต้องลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 313 วรรคแรก ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดเพียงบทเดียวตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 หาใช่เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันไม่
ปัญหาว่าการกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นกรรมเดียวหรือหลายกรรมต่างกันเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้จำเลยที่ 2 จะไม่ได้ฎีกาในประเด็นดังกล่าวขึ้นมา ศาลฎีกาก็มีอำนาจหยิบยกขึ้นมาวินิจฉัยได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบด้วย มาตรา 225 และมีอำนาจวินิจฉัยตลอดไปถึงจำเลยที่ 1 ซึ่งไม่ได้ฎีกาขึ้นมาด้วย เนื่องจากเป็นเหตุในส่วนลักษณะคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 213 ประกอบด้วย มาตรา 225

คำพิพากษาย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 313, 317
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ แต่หลังจากสืบพยานโจทก์เสร็จสิ้นแล้ว จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 313 วรรคหนึ่ง , 317 วรรคสาม ประกอบมาตรา 83 เป็นการกระทำหลายกรรมต่างกันให้เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานเพื่อให้ได้มาซึ่งค่าไถ่เอาตัวเด็กอายุไม่เกินสิบห้าปีไป ให้จำคุก 15 ปี ฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปี เพื่อหากำไร ให้จำคุก 5 ปี รวมจำคุกคนละ 20 ปี จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพในชั้นสืบพยานจำเลย เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กระทงละสองในห้าส่วน คงจำคุกคนละ 12 ปี
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยแล้ว สำหรับความผิดฐานเพื่อให้ได้มาซึ่งค่าไถ่เอาตัวเด็กอายุไม่เกินสิบห้าปีไปนั้น เห็นว่า การที่จำเลยที่ 2 ร่วมกันเอาตัวเด็กอายุเพียง 6 ปีเศษ ไปจากบิดามารดาแล้วเรียกค่าไถ่จากบิดามารดาเด็กเช่นนี้ เป็นพฤติการณ์ที่อุกอาจโดยไม่ยำเกรงต่อกฎหมายบ้านเมืองเป็นการทรมานจิตใจผู้ที่เป็นบิดามารดา อีกทั้งก่อให้เกิดความหวาดเกรงแก่ประชาชนโดยทั่วไป ซึ่งประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 313 วรรคแรก กำหนดโทษสำหรับความผิดฐานเพื่อให้ได้มาซึ่งค่าไถ่เอาตัวเด็กอายุไม่เกินสิบห้าปีไป ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สิบห้าปีถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่สามหมื่นบาทถึงสี่หมื่นบาท หรือจำคุกตลอดชีวิตหรือประหารชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันที่จำเลยที่ 2 ถูกฟ้องต่อศาล ศาลชั้นต้นอ่านและอธิบายฟ้องให้จำเลยที่ 2 ฟัง และถามว่าได้กระทำผิดจริงหรือไม่ จำเลยที่ 2 ให้การปฏิเสธ แสดงว่า จำเลยที่ 2 มิได้รู้สำนึกในการกระทำความผิดแต่อย่างใด ทั้งหลังจากสืบพยานโจทก์เสร็จสิ้นแล้ว จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพ ดังนั้น การที่ศาลอุทธรณ์ลงโทษจำเลยที่ 2 ฐานเพื่อให้ได้มาซึ่งค่าไถ่เอาตัวเด็กอายุไม่เกินสิบห้าปีไปจำคุก 15 ปี จึงเป็นการลงโทษจำคุกในอัตราขั้นต่ำตามที่กฎหมายกำหนดโทษไว้ อีกทั้งไม่มีเหตุที่จะลดมาตราส่วนโทษให้ ประกอบกับศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ได้ลดโทษในความผิดฐานนี้ให้สองในห้าส่วนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยที่ 2 ในความผิดฐานนี้เพียง 9 ปี จึงนับว่าเป็นคุณแก่จำเลยที่ 2 มากแล้ว แต่อย่างไรก็ตาม การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้เรียงกระทงลงโทษจำเลยทั้งสองในความผิดทั้งสองข้อหาดังกล่าวนั้น เห็นว่า การที่จำเลยทั้งสองร่วมกันพรากผู้เสียหายซึ่งเป็นเด็กไปจากบิดามารดาผู้ปกครองและหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้เสียหายไว้เพื่อให้ได้มาซึ่งค่าไถ่ โดยจำเลยทั้งสองมุ่งประสงค์เรียกค่าไถ่เป็นสำคัญ การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงเป็นความผิดกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทต้องลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 313 วรรคแรก ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด เพียงบทเดียวตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 หาใช่เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันตามที่ศาลล่างทั้งสองลงโทษมาไม่ แม้จำเลยที่ 2 จะไม่ได้ฎีกาในประเด็นดังกล่าวขึ้นมาก็ตาม แต่ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นมาวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 225 และมีอำนาจวินิจฉัยตลอดไปถึงจำเลยที่ 1 ซึ่งไม่ได้ฎีกาขึ้นมาด้วย เนื่องจากเป็นเหตุในส่วนลักษณะคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 213 ประกอบด้วยมาตรา 225 ศาลฎีกาจึงเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง
พิพากษาแก้เป็นว่า การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษจำเลยทั้งสองฐานเพื่อให้ได้มาซึ่งค่าไถ่เอาตัวเด็กอายุไม่เกินสิบห้าปีไป ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 313 วรรคแรก ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ให้จำคุกจำเลยทั้งสองคนละ 15 ปี จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพหลังจากสืบพยานโจทก์เสร็จสิ้นแล้ว เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้สองในห้าส่วน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกคนละ 9 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.

ผู้พิพากษา
วรนาถ ภูมิถาวร
ปัญญา ถนอมรอด
สุเทพ เจตนาการณ์กุล

Visitor Statistics
» 3 Online
» 11 Today
» 109 Yesterday
» 275 Week
» 458 Month
» 2223 Year
» 69204 Total
Record: 15081 (20.04.2022)
Free PHP counter