ป-อาญา-มาตรา-72-นาวิน-ขำแป้น

ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72 บันดาลโทสะ

ภาค 1, ประมวลกฎหมายอาญา, ประมวลกฎหมาย, กฎหมายอาญา1, กฎหมายอาญา, กฎหมาย

 

ภาค ๑ บทบัญญัติทั่วไป

ลักษณะ ๑ บทบัญญัติที่ใช้แก่ความผิดทั่วไป

มาตรา ๗๒

หมวด ๔ ความรับผิดในทางอาญา

ลักษณะ ๑ บทบัญญัติที่ใช้แก่ความผิดทั่วไป

หมวด ๔ ความรับผิดในทางอาญา

 

     มาตรา ๗๒  ผู้ใดบันดาลโทสะโดยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม จึงกระทำความผิดต่อผู้ข่มเหงในขณะนั้น ศาลจะลงโทษผู้นั้นน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้



คำพิพากษาศาลฎีกา ประกอบ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72


คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6936/2562

แม้ก่อนเกิดเหตุ ผู้ตายทำร้ายจำเลยฝ่ายเดียวด้วยการชกต่อยและบีบคอจำเลย อันถือว่าภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายได้เกิดขึ้นแล้วก็ตาม แต่หลังจากเด็กชาย ช. วิ่งออกจากบ้านเข้ามาดึงแยกจำเลยออกจากผู้ตายแล้ว จำเลยก็วิ่งเข้าไปในบ้าน ส่วนผู้ตายวิ่งไปที่รถจักรยานยนต์ ถือได้ว่าภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายดังกล่าวที่มีต่อจำเลยได้หมดไปแล้ว จำเลยจะใช้อ้างเพื่อกระทำการป้องกันสิทธิของตนย่อมหมดไปด้วย แม้ขณะที่จำเลยวิ่งกลับเข้าไปภายในบ้านจะได้ยินผู้ตายตะโกนพูดว่า มึงตายแน่ และเมื่อกลับออกมาก็เห็นผู้ตายยืนเปิดเบาะล้วงเข้าไปหยิบของในกล่องใต้เบาะรถจักรยานยนต์ก็ตาม แต่จำเลยกลับออกมาพร้อมถืออาวุธปืนมาด้วยแล้วใช้อาวุธปืนยิงไปที่ผู้ตาย 1 นัดทันที โดยไม่ปรากฏว่าผู้ตายได้กระทำการใดเลย จำเลยจึงไม่อาจอ้างเหตุความสำคัญผิดในข้อเท็จจริงโดยเข้าใจว่ากล่องใต้เบาะรถจักรยานยนต์ของผู้ตายมีอาวุธปืนอยู่และผู้ตายล้วงลงไปเพื่อนำอาวุธปืนออกมายิงจำเลยได้ แต่การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำที่ต่อเนื่องจากการที่ถูกผู้ตายชกต่อยและบีบคอฝ่ายเดียว ซึ่งถือว่าเป็นการข่มเหงจำเลยด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมย่อมก่อให้เกิดโทสะแก่จำเลย การที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตาย จึงถือได้ว่าเป็นการกระทำความผิดโดยบันดาลโทสะ ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72


คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8882/2561

การกระทำโดยบันดาลโทสะตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72 เป็นกรณีที่ผู้กระทำถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม จึงกระทำต่อผู้ข่มเหงในขณะนั้น ส่วนการกระทำโดยพลาดตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 60 เป็นกรณีที่ผู้กระทำเจตนากระทำต่อบุคคลคนหนึ่งแต่ผลของการกระทำเกิดแก่ อีกบุคคลหนึ่งโดยพลาดไป สำหรับการกระทำโดยเจตนาย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น ผู้กระทำต้องเล็งเห็นผลของการกระทำนั้นแล้วว่า จะทำให้ผู้ถูกกระทำได้รับผลนั้น ซึ่งเป็นผลที่เห็นได้ชัดว่า จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
ผู้เสียหายที่ 1 กับพวกขับรถจักรยานยนต์เที่ยวเล่นตั้งแต่เวลาประมาณ 21 นาฬิกา โดย พ. นั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ผู้เสียหายที่ 1 ส่วน ข. นั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ ท. ไม่ปรากฏว่า ผู้ตายทั้งสองได้ร่วมทำร้ายหรือมีพฤติการณ์ใดที่แสดงให้เห็นว่า มีเจตนาที่ร่วมกับผู้เสียหายที่ 1 กับพวกทำร้ายจำเลย แม้ผู้ตายทั้งสองจะอยู่ในที่เกิดเหตุแต่ก็ไม่ปรากฏว่ามีการยุยงส่งเสริมสนับสนุนหรือให้กำลังใจเพื่อให้ผู้เสียหายที่ 1 กับพวก เกิดความฮึกเหิมรุมทำร้ายจำเลยกับพวก หลังเกิดเหตุผู้ตายทั้งสองไปกับผู้เสียหายที่ 1 กับพวกก็คงเป็นเพราะนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์มาด้วยกัน พฤติการณ์ของผู้ตายทั้งสองฟังไม่ได้ว่า ผู้ตายทั้งสองข่มเหงหรือร่วมกับผู้เสียหายที่ 1 กับพวกข่มเหงจำเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม การที่จำเลยขับรถกระบะซึ่งมีขนาดใหญ่และมีแรงประทะมากกว่ารถจักรยานยนต์หลายเท่าฝ่าเข้าไปหรือพุ่งชนกลุ่มรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายที่ 1 กับพวกโดยแรงแม้กระทำเพียงครั้งเดียวก็เห็นได้ว่า จำเลยย่อมเล็งเห็นได้ว่า ทั้งคนขับและคนนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ที่ถูกชนจะถึงแก่ความตายได้ จึงถือว่าจำเลยมีเจตนากระทำต่อผู้ตายทั้งสองโดยตรง ไม่ใช่กรณีที่จำเลยเจตนาที่จะกระทำต่อกลุ่มคนที่รุมทำร้ายจำเลย แต่ผลของการกระทำเกิดแก่ผู้ตายทั้งสองโดยพลาดไป เมื่อผู้ตายทั้งสองมิได้ข่มเหงจำเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม การกระทำความผิดต่อผู้ตายทั้งสองจึงไม่อาจอ้างเหตุบันดาลโทสะได้


คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5486/2560

จำเลยเห็นผู้ตายขณะมีเพศสัมพันธ์กับภรรยาจำเลย จึงเข้าไปชกต่อยและต่อสู้กับผู้ตาย เมื่อจำเลยเพลี่ยงพล้ำ ภรรยาจำเลยและผู้ตายรีบสวมใส่กางเกงแล้วภรรยาจำเลยไปติดเครื่องรถจักรยานยนต์และเรียกผู้ตายขึ้นรถ ผู้ตายก็รีบวิ่งไปนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ที่ภริยาจำเลยขับออกไป เช่นนี้ภยันตรายที่เกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายได้ผ่านพ้นไปแล้ว การที่จำเลยวิ่งตามไปทันทีแล้วใช้ไม้และเสียมตีผู้ตายจึงไม่อาจอ้างว่าเป็นการป้องกันสิทธิของตนได้ แต่เป็นการกระทำต่อเนื่องกระชั้นชิดกับเหตุการณ์ที่จำเลยเห็นผู้ตายมีเพศสัมพันธ์กับภริยาจำเลย ถือได้ว่าจำเลยถูกผู้ตายข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม การที่จำเลยใช้ไม้และเสียมตีผู้ตายในขณะนั้นจึงเป็นการกระทำความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยบันดาลโทสะตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบมาตรา 72


คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1437/2565

ในวันเกิดเหตุผู้ตายทะเลาะกับจําเลย โดยผู้ตายขอมีภริยาน้อย พูดจาดูถูกเหยียดหยามบุพการีจําเลย ไล่จําเลยให้ออกจากบ้านและผู้ตายทําร้ายร่างกายจําเลย ซึ่งการที่ผู้ตายด่าว่าจําเลยที่เป็นภริยาในลักษณะดูถูกเหยียดหยามและขอมีภริยาน้อยทั้งด่าไปถึงบุพการีของจําเลยและทําร้ายจําเลยเช่นนั้น ย่อมทําให้จําเลยรู้สึกแค้นเคืองเป็นอย่างมาก ถือว่าเป็นการข่มเหงจําเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม การที่จําเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตาย โดยขณะ พ. เข้ามาช่วยผู้ตาย จําเลยยังพูดกับ พ. ว่า “ไม่ต้องไปช่วยมัน”
จึงเป็นการกระทําความผิดขณะบันดาลโทสะอยู่ จําเลยจึงมีความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยบันดาลโทสะ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบมาตรา 72 ซึ่งศาลจะลงโทษจําเลยน้อยกว่าที่กฎหมายกําหนดไว้สําหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้
นอกจากนั้น เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ผู้ตายมีส่วนก่อให้จําเลยกระทําความผิด ผู้ตายจึงมีส่วนในการกระทําความผิดอยู่ด้วย ผู้ตายจึงมิใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัยในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2 (4) นาย ม. โดย นาง ส. ผู้แทนเฉพาะคดี ย่อมไม่มีอํานาจจัดการแทนผู้ตายได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 5 (2) และไม่มีอํานาจเข้าร่วมเป็นโจทก์ตาม มาตรา 30
ที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้นาย ม. โดย นาง ส. ผู้แทนเฉพาะคดี เข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการจึงไม่ชอบ ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกามีอํานาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบด้วย มาตรา 225

 

ข้อสอบเก่า เนติบัณฑิต

(อาญา สมัยที่ 57)

 

การสอบข้อเขียนความรู้ชั้นเนติบัณฑิต ภาคหนึ่ง สมัยที่ 57 ปีการศึกษา 2547
กฎหมายอาญา กฎหมายภาษีอากร กฎหมายแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน
กฎหมายรัฐธรรมนูญ และกฎหมายปกครอง

วันอาทิตย์ 3 ตุลาคม 2547

 

คำถาม


ข้อ 3.   นายอ้วนกับนายผอมเคยมีเรื่องทะเลาะวิวาทกันมาก่อน วันเกิดเหตุนายอ้วนไปท้าทายนายผอมโดยพูดว่า "มึงออกมาต่อยกับกูตัวต่อตัวถ้าแน่จริง" นายผอมเดินออกจากบ้านไปพบนายอ้วนโดยพกอาวุธปืนสั้นไปด้วยนายอ้วนชักมีดออกมาเพื่อจัวงแทงนายผอม จึงถูกนายผอมใช้อาวุธปืนดังกล่าวยิงในระยะ 2 เมตร ถูกนายอ้วนที่หน้าอกจำนวน 3 นัด นายอ้วนได้รับอันตรายสาหัส
ให้วินิจฉัยว่า นายผอมมีความผิดฐานใดหรือไม่ และนายผอมจะอ้างเหตุว่าเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายหรือกระทำโดยบันดาลโทสะได้หรือไม่


ธงคำตอบ

  นายผอมใช้อาวุธปืนยิงในระยะ 2 เมตร ถูกนายอ้วนที่หน้าอก 3 นัด ถือว่ามีเจตนาฆ่านายอ้วน แต่นายอ้วนไม่ถึงแก่ความตาย
นายผอมจึงมีความผิดฐานพยายามฆ่า ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบ มาตรา 80 การที่นายอ้วนไปพูดท้าทายและนายผอมออกไปพบนายอ้วนโดยพกอาวุธปืนสั้นไปด้วย แสดงว่านายผอมสมัครใจเข้าวิวาทและต่อสู้กับนายอ้วน เป็นการเข้าสู่ภัยโดยไม่มีกฎหมายให้อำนาจ แม้นายอ้วนชักมีดเพื่อจ้วงแทงก็เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในการทะเลาะวิวาทกัน นายผอมไม่มีสิทธิใช้อาวุธปืนยิง
นายอ้วน โดยอ้างเหตุว่าเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 68 การที่นายอ้วนพูดท้าทายให้นายผอมออกไปชกต่อยกันตัวต่อตัว ยังมิใช่เป็นการข่มเหงนายผอมอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมต่อนายผอม และแม้นายอ้วนชักมีดเพื่อจ้วงแทงก็เนื่องมาจากการที่นายผอมสมัครใจเข้าวิวาทต่อสู้กับนายอ้วน จึงไม่อาจอ้างว่าเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72 (เทียบคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3089/2541 และ 4686/2545)

 

ข้อสอบเก่า เนติบัณฑิต

(อาญา สมัยที่ 61)

 

การสอบข้อเขียนความรู้ชั้นเนติบัณฑิต ภาคหนึ่ง สมัยที่ 61 ปีการศึกษา 2551
กฎหมายอาญา กฎหมายภาษีอากร กฎหมายแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน
กฎหมายรัฐธรรมนูญ และกฎหมายปกครอง

วันอาทิตย์ 22 กันยายน 2551

 

คำถาม


ข้อ 2.  นายเอกต้องการฆ่านายโทจึงเล็งปืนจ้องจะยิงนายโททางด้านหลัง นายตรีและนายจัตวาเห็นเหตุการณ์ จึงเข้าช่วยนายโทมิให้ถูกยิง โดยนายตรีใช้ปืนยิงนายเอก กระสุนถูกนายเอกบาดเจ็บ ส่วนนายจัตวาช่วยนายโท ด้วยการผลักนายโทล้มลงทําให้นายโทศีรษะแตก หลังจากนั้นนายจัตวาเข้าไปประคองนายโท นายโทเข้าใจผิดว่า นายจัตวาแกล้งผลักตนล้มลงจึงแสดงอาการโกรธ นายจัตวาเห็นนายโทโกรธจึงตกใจวิ่งหนี นายโทซึ่งยังโกรธอยู่ วิ่งไล่ติดตามไปทันทีและใช้ไม้ตีทําร้ายนายจัตวาเป็นเหตุให้นายจัตวาศีรษะแตก
ให้วินิจฉัยว่า นายตรี นายจัตวา และนายโทมีความรับผิดฐานใดหรือไม่


ธงคำตอบ

     นายตรี ใช้ปืนยิงนายเอกบาดเจ็บเพื่อช่วยนายโทมิให้ถูกนายเอกยิง นายตรีอ้างป้องกันตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 68 ได้ และเป็นการกระทําที่พอสมควรแก่เหตุ นายตรีจึงไม่มีความผิดฐานพยายามฆ่านายเอก ตามมาตรา 288 ประกอบกับมาตรา 80
    นายจัตวา ผลักนายโทล้มลงเพื่อมิให้ถูกนายเอกยิง นายจัตวาจะอ้างป้องกันตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 68 ไม่ได้ เพราะมิได้กระทําต่อนายเอกผู้ก่อภัย แต่นายจัตวาอ้างว่าเป็นการกระทําโดยจําเป็นเพื่อให้ผู้อื่นพ้นภยันตรายตามมาตรา 67 (2) ได้ เมื่อเป็นการกระทําที่พอสมควรแก่เหตุ นายจัตวาจึงไม่ต้องรับโทษ ในความผิดฐานทําร้ายร่างกายนายโทตามมาตรา 295
    นายโท ใช้ไม้ตีนายจัตวาศีรษะแตกในขณะที่นายโทโกรธโดยตีเมื่อนายจัตวาวิ่งหนีไปแล้ว จึงไม่เป็นการกระทําโดยป้องกันแต่เป็นการกระทําโดยบันดาลโทสะตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72 และสําคัญผิดในข้อเท็จจริงตามมาตรา 62 เพราะเข้าใจผิดไปว่านายจัตวาข่มเหงตนอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมโดยการแกล้งผลักตนล้มลง ศาลจึงอาจลงโทษนายโทน้อยกว่าที่กฎหมายกําหนดไว้สําหรับความผิดฐานทําร้ายร่างกาย นายจัตวาตามมาตรา 295 เพียงใดก็ได้

 

ข้อสอบเก่า เนติบัณฑิต

(อาญา สมัยที่ 64)

 

การสอบข้อเขียนความรู้ชั้นเนติบัณฑิต ภาคหนึ่ง สมัยที่ 64 ปีการศึกษา 2554
กฎหมายอาญา กฎหมายภาษีอากร กฎหมายแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน
กฎหมายรัฐธรรมนูญ และกฎหมายปกครอง

วันอาทิตย์ 25 กันยายน 2554

 

คำถาม


ข้อ 2.   นายเสือเข้าไปลวนลามนางหญิงในบ้านของนางหญิงโดยกระทําต่อหน้านายสิงห์สามีของนางหญิง และต่อหน้านายกระทิงเพื่อนสนิทของนายสิงห์ เมื่อนายเสือเห็นว่านายสิงห์โกรธที่ตนกระทําเช่นนั้นจึงเดินหนีออกจากบ้านโดยได้ขโมยกําไลข้อมือของนางหญิงที่วางอยู่บนโต๊ะติดมือไปด้วย นายสิงห์และนายกระทิง จึงต่างติดตามนายเสือไปทันที เมื่อตามทันนายกระทิงใช้ไม้ตีมือนายเสือ เพื่อจะเอากําไลคืน นายเสือถูกตีบาดเจ็บจึงทิ้งกําไลลงที่พื้นและเดินหนีไป นายกระทิงหยิบกําไลนั้นได้แล้วนํากลับไปคืนให้นางหญิงทันที ส่วนนายสิงห์ซึ่งยังโกรธนายเสืออยู่ได้หยิบปืนขึ้นมายิงนายเสือที่เดินหนีหลายนัด นายเสือถูกยิงได้รับบาดเจ็บ นอกจากนี้กระสุนยังแฉลบไปถูกนายไก่ และแฉลบไปถูกนายเป็ดซึ่งยืนอยู่ข้างหลังนายไก่ด้วย ซึ่งขณะนั้นทั้งสองคนยืนอยู่ห่างออกไปจากนายเสือ ทําให้นายไก่และนายเป็ดได้รับบาดเจ็บ
ให้วินิจฉัยว่า นายกระทิงและนายสิงห์มีความผิดฐานใดหรือไม่


ธงคำตอบ

  นายกระทิงไม่มีความผิดฐานทําร้ายร่างกายนายเสือ เพราะเป็นการกระทําโดยป้องกันสิทธิของผู้อื่น ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 68 แม้ว่าขณะที่นายกระทิงทําร้ายร่างกายนายเสื้อ ความผิดฐานลักทรัพย์จะสําเร็จไปแล้ว แต่ภยันตรายแห่งการพาเอาทรัพย์นั้นไปยังคงมีอยู่ตลอดเวลาที่นายเสือกําลังพาทรัพย์หนีไป การที่นายกระทิงทําร้ายร่างกายนายเสือ เพื่อติดตามเอากําไลข้อมือนั้นคืนในทันทีทันใด จึงเป็นการกระทําโดยป้องกันพอสมควรแก่เหตุตามมาตรา 68 (เทียบคําพิพากษาฎีกาที่ 729/2541 และ 6490/2548)
นายสิงห์มีความผิดฐานพยายามฆ่านายเสือตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบมาตรา 80 โดยจะอ้างป้องกันตามมาตรา 68 ไม่ได้ เพราะขณะที่นายสิงห์ยิงนายเสือนั้น ภยันตรายที่เกิดจากการกระทําของนายเสือได้ผ่านพ้นไปแล้ว แต่นายสิงห์อ้างบันดาลโทสะตามมาตรา 72 ได้ เพราะถูกนายเสือข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมและได้กระทําความผิดต่อนายเสือในระยะเวลาต่อเนื่องกระชั้นชิดกับการข่มเหงนั้นเอง (เทียบคําพิพากษาฎีกาที่ 900/2553)
นายสิงห์มีความผิดฐานพยายามฆ่านายไก่และนายเป็ด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบ มาตรา 80 โดยเป็นเจตนาฆ่าโดยพลาด ตามมาตรา 60 แต่นายสิงห์อ้างบันดาลโทสะตามมาตรา 72 ในการกระทําความผิดต่อนายไก่และนายเป็ดได้เช่นกัน (เทียบคําพิพากษาฎีกาที่ 1682/2 509)

 

ข้อสอบเก่า เนติบัณฑิต

(อาญา สมัยที่ 67)

 

การสอบข้อเขียนความรู้ชั้นเนติบัณฑิต ภาคหนึ่ง สมัยที่ 67 ปีการศึกษา 2557
กฎหมายอาญา กฎหมายภาษีอากร กฎหมายแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน
กฎหมายรัฐธรรมนูญ และกฎหมายปกครอง

วันอาทิตย์ 28 กันยายน 2557

 

คำถาม


ข้อ 2.   นายหนุ่มสามีนางสวยเป็นคนขี้หึง และเป็นที่รู้กันอยู่ทั่วไปว่า นายหนุ่ม มักจะไปก่อเหตุทำร้ายร่างกายชายอื่นที่นายหนุ่มเข้าใจว่ามาข้องแวะกับนางสวยอยู่เสมอ นางสวยแอบไปยืมเงินนายช้างมาเล่นการพนันโดยไม่บอกให้นายหนุ่มทราบ วันหนึ่งนายช้างมาทวงเงินยืมจากนางสวย นางสวยไม่พอใจมากที่ถูกทวงหนี้ และขอผิดผ่อนไปก่อน ขณะที่นางสวยกำลังเจรจากับนายช้าง นายหนุ่มกลับมาถึงบ้านพอดี นางสวยจึงหลอกนายหนุ่มว่า นายช้างแอบเข้ามาในบ้านและทำอนาจารตน โดยนางสวยต้องการให้นายหนุ่มโกรธและทำร้ายนายช้าง นายหนุ่มได้ยินเช่นนั้นก็โกรธนายช้างและรีบร้อนเข้าทำร้ายร่างกายนายช้างทันทีจนได้รับอันตรายสาหัสโดยมิได้ใช้ความระมัดระวังพิจารณาให้รอบคอบเสียก่อนว่าเรื่องเกิดขึ้นมาได้อย่างไร
ให้วินิจฉัยว่า นายหนุมและนางสวยมีความผิดฐานใดหรือไม่


ธงคำตอบ

  นายหนุ่มมีความผิดฐานทําร้ายร่างกายจนเป็นเหตุให้นายช้างได้รับอันตรายสาหัส ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297 ซึ่งหากเป็นกรณีที่นายช้างทําอนาจารนางสวยจริง ก็ย่อมเป็นการข่มเหงนายหนุ่มอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม นายหนุ่มจึงอ้างว่ากระทําความผิดโดยเหตุบันดาลโทสะตามมาตรา 72 ได้ (เทียบคําพิพากษาฎีกาที่ 853/2502) แต่เมื่อความจริงนายช้างมิได้ทําอนาจารนางสวย จึงเป็นกรณีสําคัญผิดในข้อเท็จจริงใด ซึ่งถ้ามีอยู่จริงจะทําให้ผู้กระทําได้รับโทษน้อยลงตามมาตรา 62 วรรคแรก นายหนุ่มจึงมีความผิดตามมาตรา 297 ประกอบมาตรา 72 และมาตรา 62 วรรคแรก ซึ่งศาลจะลงโทษน้อยกว่าที่กฎหมายกําหนดไว้เพียงใดก็ได้
นายหนุ่มรีบร้อนไปทําร้ายร่างกายนายช้างทันที โดยมิได้ใช้ความระมัดระวังพิจารณาให้รอบคอบเสียก่อนว่า เรื่องเกิดขึ้นมาได้อย่างไร จึงเป็นการสําคัญผิดในข้อเท็จจริงโดยประมาท เมื่อเป็นผลทําให้นายช้างได้รับอันตรายสาหัส นายหนุ่มจึงมีความผิดฐานกระทําโดยประมาทเป็นเหตุให้นายช้างรับอันตรายสาหัส ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 300 อีกบทหนึ่ง โดยผลของมาตรา 62 วรรคสองด้วย (เทียบคําพิพากษาฎีกาที่ 4968/2551) ซึ่งนายหนุ่มไม่อาจอ้างว่ากระทําความผิดโดยเหตุบันดาลโทสะสําหรับความผิดตามมาตรา 300 นี้ได้ เพราะการกระทําความผิดที่อาจอ้างเหตุบันดาลโทสะต้องเป็นการกระทําความผิดโดยเจตนาเท่านั้น
นายหนุ่มไม่เคยมีเจตนาที่จะทําร้ายร่างกายนายช้างมาก่อน เมื่อนางสวยหลอกว่าถูกนายช้างกระทําอนาจารโดยนางสวยต้องการให้นายหนุ่มโกรธและไปทําร้ายร่างกายนายช้าง จึงเป็นการก่อให้นายหนุ่มกระทําความผิดฐานทําร้ายร่างกายนายช้างด้วยวิธีอื่นใด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 84 วรรคแรก เมื่อนายหนุ่ม ได้ทําร้ายร่างกายนายช้างและต้องรับโทษตามมาตรา 297 นางสวยจึงมีความผิด ตามมาตรา 297 โดยเป็นผู้ใช้และรับโทษเสมือนเป็นตัวการ ทั้งนี้ ตามมาตรา 84 วรรคสอง

 

ข้อสอบเก่า เนติบัณฑิต

(อาญา สมัยที่ 70)

 

การสอบข้อเขียนความรู้ชั้นเนติบัณฑิต ภาคหนึ่ง สมัยที่ 70 ปีการศึกษา 2560
กฎหมายอาญา กฎหมายภาษีอากร กฎหมายแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน
กฎหมายรัฐธรรมนูญ และกฎหมายปกครอง

วันอาทิตย์ 24 กันยายน 2560

 

คำถาม


ข้อ 3.   นายสมต้องการฆ่านางใส จึงคิดวางแผนฆ่านางใส ด้วยการหาซื้อยาเบื่อหนู เมื่อได้มาแล้วได้เอายาเบื่อหนูใส่ในโอ่งน้ำดื่มของนางใส นายสองน้องชายของนางใสเห็นเหตุการณ์โดยตลอด จึงตะโกนร้องบอกนางใสพี่สาวในทันทีไม่ให้ดื่มน้ำในโอ่งนั้น นายสมตกใจที่ความแตก จึงรีบวิ่งหนี นายสองโกรธที่นายสมกระทํากับพี่สาวของตนเช่นนั้น จึงวิ่งไล่ยิงนายสมไปทันที ขณะที่นายสมวิ่งหนีไปตามทางแคบๆ มีรถจักรยายของนายเหลืองจอดขวางทางอยู่ นายสมจึงวิ่งชนรถนั้นเพื่อไม่ให้โดนยิง ทําให้รถล้มลงและได้รับความเสียหาย โดยนายสองยิงถูกนายสมได้รับบาดเจ็บสาหัส
ให้วินิจฉัยว่า นายสมและนายสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาฐานใด


ธงคำตอบ

  นายสมมีเจตนาฆ่านางใส การเอายาเบื่อหนูใส่ในโอ่งน้ำดื่มของนางใส เป็นขั้นตอนสุดท้ายของการดําเนินการในการฆ่านางใส อันเป็นการกระทําที่ใกล้ชิดต่อความผิดสําเร็จที่จะเกิดขึ้น จึงมีความผิดฐานพยายามฆ่านางใสโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 (4) ประกอบมาตรา 80 และมีความผิดฐานปลอมปนเครื่องอุปโภคบริโภคเพื่อบุคคลอื่นเสพหรือใช้ และการปลอมปนนั้นน่าจะเป็นเหตุเกิดอันตรายแก่สุขภาพ ตามมาตรา 236 ด้วย (เทียบคําพิพากษาฎีกาที่ 2143/2536)
นายสองมีความผิดฐานพยายามฆ่านายสม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบมาตรา 80 แต่อ้างเหตุบันดาลโทสะตามมาตรา 72 ได้ เพราะการที่นายสม ลงมือฆ่านางใสเป็นการข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมต่อนางใส และต่อนายสองน้องชาย ซึ่งเห็นเหตุการณ์โดยตลอดด้วย (เทียบคําพิพากษาฎีกาที่ 1597/2497)
นายสมมีความผิดฐานทําให้เสียทรัพย์ของนายเหลือง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 358 โดยจะอ้างว่าเป็นการกระทําความผิดด้วยความจําเป็นตามมาตรา 67 (2) เพื่อให้ตนพ้นจากภยันตรายจากการถูกไล่ยิงไม่ได้ เพราะภยันตรายนั้นนายสมเป็นผู้ก่อให้เกิดขึ้นเพราะความผิดของนายสมเอง

ป-อาญา-มาตรา-72

หลักเกณฑ์ 3 ประการ

  1. ถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม
  2. การถูกข่มเหงนั้นเป็นเหตุให้ผู้กระทำบันดาลโทสะ
  3. ผู้กระทำกระทำต่อผู้ข่มเหงในขณะบันดาลโทสะ

คำว่า “เหตุอันไม่เป็นธรรม” โดยทั่วไป หมายถึง การกระทำอันเป็นการละเมิดต่อกฎหมาย การกระทำบางกรณีแม้ยังไม่ถึงขั้นละเมิดต่อกฎหมายก็อาจถือว่าเป็นเหตุอันไม่เป็นธรรมได้ (ต่างกับป้องกันที่ต้องมีภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายเท่านั้น)

สารบัญ ประมวลกฎหมายอาญา

0 0 votes
Article Rating
(Visited 2,223 times, 1 visits today)
Subscribe
Notify of
guest
2 Comments
Oldest
Newest Most Voted
Inline Feedbacks
View all comments