ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 67 กระทำความผิดด้วยความจำเป็น
ภาค ๑ บทบัญญัติทั่วไป |
ลักษณะ ๑ บทบัญญัติที่ใช้แก่ความผิดทั่วไป |
---|---|
มาตรา ๖๗ |
หมวด ๔ ความรับผิดในทางอาญา |
ลักษณะ ๑ บทบัญญัติที่ใช้แก่ความผิดทั่วไป
มาตรา ๖๗ ผู้ใดกระทำความผิดด้วยความจำเป็น
(๑) เพราะอยู่ในที่บังคับหรือภายใต้อำนาจซึ่งไม่สามารถหลีกเลี่ยงหรือขัดขืนได้ หรือ
(๒) เพราะเพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นพ้นจากภยันตรายที่ใกล้จะถึงและไม่สามารถหลีกเลี่ยงให้พ้นโดยวิธีอื่นใดได้เมื่อภยันตรายนั้นตนมิได้ก่อให้เกิดขึ้นเพราะความผิดของตน
ถ้าการกระทำนั้นไม่เป็นการเกินสมควรแก่เหตุแล้ว ผู้นั้นไม่ต้องรับโทษ
การสอบข้อเขียนความรู้ชั้นเนติบัณฑิต ภาคหนึ่ง สมัยที่ 58 ปีการศึกษา 2548
กฎหมายอาญา กฎหมายภาษีอากร กฎหมายแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน
กฎหมายรัฐธรรมนูญ และกฎหมายปกครอง
วันอาทิตย์ 25 กันยายน 2548
คำถาม
ข้อ 3.
นายหนึ่งปลูกข้าวไว้ในที่นาของตนซึ่งอยู่ติดกับถนนสาธารณะ ขณะนั้นเป็นฤดูฝน นายหนึ่งเกรงว่าหากฝนตกหนักน้ำจะท่วมที่นาของตนทำให้ข้าวที่ปลูกไว้ตาย นายหนึ่งจึงขุดถนนสาธารณะข้างที่นาของตนเพื่อทำเป็นทางระบายน้ำจากที่นาลงหนองน้ำสาธารณะ นอกจากนั้น นายหนึ่งยังถ่อเรือเข้าไปตัดใบบัวที่งอกขึ้นเองในหนองน้ำนั้นเพื่อให้น้ำไหลสะดวกหากฝนตก และนายหนึ่งเห็นอยู่แล้วว่ามีต้นข้าวขึ้นสูงจะออกรวงอยู่แล้วปะปนอยู่ระหว่างกอบัวและนายหนึ่งทราบดีว่านายสองผู้เป็นชาวนาเป็นคนปลูกตันข้าวนั้น ปรากฎว่าต้นข้าวของนายสองถูกนายหนึ่งตัดขาดไปหลายต้น
ให้วินิจฉัยว่า นายหนึ่งมีความรับผิดฐานใดหรือไม่
ธงคำตอบ
การที่นายหนึ่งขุดถนนสาธารณะเพื่อทำเป็นทางระบายน้ำ นายหนึ่งมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 360 ฐานทำให้เสียทรัพย์ที่ใช้หรือมีไว้เพื่อสาธารณประโยชน์ โดยนายหนึ่งจะอ้างว่าเป็นการกระทำความผิดด้วยความจำเป็นเพื่อให้ตนพ้นจากภยันตรายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 67 (2) ไม่ได้ เพราะขณะที่นายหนึ่งขุดถนน ฝนยังไม่ตก น้ำจึงยังไม่ท่วมต้นข้าวของนายหนึ่ง จึงไม่มีภยันตรายที่ใกล้จะถึงชึ่งนายหนึ่งจะต้องหลีกเลี่ยงด้วยการขุดถนน (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 734/2529)
การที่นายหนึ่งถ่อเรือเข้าไปตัดใบบัวโดยเห็นต้นข้าวชึ่งตนทราบอยู่แล้วว่านายสองเป็นผู้ปลูกขึ้นปะปนอยู่กับกอบัว แม้นายหนึ่งจะมีเจตนาประสงค์ต่อผลในการตัดใบบัว แต่ก็ย่อมเล็งเห็นผลอยู่ว่าการถ่อเรือเข้าไปตัดใบบัวดังกล่าวจะทำความเสียหายให้แก่ต้นข้าวของนายสองได้ จึงถือว่ามีเจตนาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 59 ในการทำให้เสียทรัพย์ของนายสอง นายหนึ่งจึงมีความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ซึ่งเป็นพืชผลของกสิกร ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 359 (เทียบเคียงคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1155/2520 ) โดยนายหนึ่งจะอ้างว่าเป็นการกระทำความผิดด้วยความจำเป็นเพื่อให้ตนพ้นภยันตรายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 67 (2) ไม่ได้ เพราะไม่ใช่ภยันตรายที่ใกล้จะถึง
การสอบข้อเขียนความรู้ชั้นเนติบัณฑิต ภาคหนึ่ง สมัยที่ 61 ปีการศึกษา 2551
กฎหมายอาญา กฎหมายภาษีอากร กฎหมายแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน
กฎหมายรัฐธรรมนูญ และกฎหมายปกครอง
วันอาทิตย์ 22 กันยายน 2551
คำถาม
ข้อ 2.
นายเอกต้องการฆ่านายโทจึงเล็งปืนจ้องจะยิงนายโททางด้านหลัง นายตรีและนายจัตวาเห็นเหตุการณ์ จึงเข้าช่วยนายโทมิให้ถูกยิง โดยนายตรีใช้ปืนยิงนายเอก กระสุนถูกนายเอกบาดเจ็บ ส่วนนายจัตวาช่วยนายโท ด้วยการผลักนายโทล้มลงทําให้นายโทศีรษะแตก หลังจากนั้นนายจัตวาเข้าไปประคองนายโท นายโทเข้าใจผิดว่า นายจัตวาแกล้งผลักตนล้มลงจึงแสดงอาการโกรธ นายจัตวาเห็นนายโทโกรธจึงตกใจวิ่งหนี นายโทซึ่งยังโกรธอยู่ วิ่งไล่ติดตามไปทันทีและใช้ไม้ตีทําร้ายนายจัตวาเป็นเหตุให้นายจัตวาศีรษะแตก
ให้วินิจฉัยว่า นายตรี นายจัตวา และนายโทมีความรับผิดฐานใดหรือไม่
ธงคำตอบ
นายตรี ใช้ปืนยิงนายเอกบาดเจ็บเพื่อช่วยนายโทมิให้ถูกนายเอกยิง นายตรีอ้างป้องกันตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 68 ได้ และเป็นการกระทําที่พอสมควรแก่เหตุ นายตรีจึงไม่มีความผิดฐานพยายามฆ่านายเอก ตามมาตรา 288 ประกอบกับมาตรา 80
นายจัตวา ผลักนายโทล้มลงเพื่อมิให้ถูกนายเอกยิง นายจัตวาจะอ้างป้องกันตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 68 ไม่ได้ เพราะมิได้กระทําต่อนายเอกผู้ก่อภัย แต่นายจัตวาอ้างว่าเป็นการกระทําโดยจําเป็นเพื่อให้ผู้อื่นพ้นภยันตรายตามมาตรา 67 (2) ได้ เมื่อเป็นการกระทําที่พอสมควรแก่เหตุ นายจัตวาจึงไม่ต้องรับโทษ ในความผิดฐานทําร้ายร่างกายนายโทตามมาตรา 295
นายโท ใช้ไม้ตีนายจัตวาศีรษะแตกในขณะที่นายโทโกรธโดยตีเมื่อนายจัตวาวิ่งหนีไปแล้ว จึงไม่เป็นการกระทําโดยป้องกันแต่เป็นการกระทําโดยบันดาลโทสะตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72 และสําคัญผิดในข้อเท็จจริงตามมาตรา 62 เพราะเข้าใจผิดไปว่านายจัตวาข่มเหงตนอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมโดยการแกล้งผลักตนล้มลง ศาลจึงอาจลงโทษนายโทน้อยกว่าที่กฎหมายกําหนดไว้สําหรับความผิดฐานทําร้ายร่างกาย นายจัตวาตามมาตรา 295 เพียงใดก็ได้
การสอบข้อเขียนความรู้ชั้นเนติบัณฑิต ภาคหนึ่ง สมัยที่ 63 ปีการศึกษา 2553
กฎหมายอาญา กฎหมายภาษีอากร กฎหมายแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน
กฎหมายรัฐธรรมนูญ และกฎหมายปกครอง
วันอาทิตย์ 26 กันยายน 2553
คำถาม
ข้อ 3.
นายเบี้ยวจ้างนายแบนไปฆ่านายทอง นายแบนไปที่บ้านนายทองเห็นนายทองกําลังยืนคุยกับนายเงิน แต่นายแบนไม่เคยรู้จักนายทองมาก่อน จึงถามนายทองว่าคนไหนคือนายทอง นายทองรู้ว่านายแบนเป็นมือปืนรับจ้างจะมาฆ่าตน จึงชี้ไปที่นายเงินและบอกว่านี่คือนายทอง นายแบนสําคัญผิดว่านายเงินคือนายทอง จึงชักปืนยิงนายเงินถึงแก่ความตาย
ให้วินิจฉัยว่า นายแบน นายทอง และนายเบี้ยวมีความผิดฐานใดหรือไม่
ธงคำตอบ
การที่นายแบนยิงนายเงินโดยเข้าใจผิดว่าเป็นนายทอง ต้องถือว่านายแบนมีเจตนาฆ่านายเงิน โดยนายแบนจะยกเอาความสําคัญผิดว่านายเงินคือนายทองเป็นข้อแก้ตัวว่ามิได้กระทําโดยเจตนาต่อนายเงินไม่ได้ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 61 เมื่อนายแบนรับจ้างมาฆ่าเป็นการฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน จึงมีความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนตามมาตรา 289 (4)
การที่นายทองบอกนายแบนว่านายเงินคือนายทอง จึงทําให้นายแบนฆ่านายเงินเป็นการก่อให้นายแบน กระทําความผิดต่อนายเงินด้วยวิธีอื่นใด เพราะนายแบนไม่มีเจตนาจะฆ่านายเงินมาก่อน นายทองจึงเป็นผู้ใช้ให้นายแบนกระทําความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 84 วรรคหนึ่ง เมื่อนายแบนผู้ถูกใช้ได้กระทําความผิดตามที่ใช้ นายทองผู้ใช้จึงต้องรับโทษเสมือนเป็นตัวการตามมาตรา 84 วรรคสอง นายทองจึงมีความผิดตามมาตรา 289 (4) โดยเป็นผู้ใช้ตามมาตรา 84
นายทองจะอ้างว่าการกระทําของตนเป็นการกระทําความผิดด้วยความจําเป็นเพื่อให้ตนเองพ้นจากภยันตราย ที่ใกล้จะถึงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 67 (2) ไม่ได้ เพราะนายทองสามารถหลีกเลี่ยงให้พ้นภยันตรายโดยวิธีอื่นใดได้ (เช่น อ้างว่าไม่รู้จักนายทองฯ)
นายเบี้ยวจ้างนายแบนไปฆ่านายทอง เป็นการก่อให้นายแบนกระทําความผิดโดยการจ้าง จึงเป็นผู้ใช้ให้ กระทําความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 84 เมื่อนายแบนฆ่านายเงินโดยสําคัญผิดว่าเป็นนายทอง ถือว่าผู้ถูกใช้ได้กระทําความผิดตามที่ใช้ นายเบี้ยวผู้ใช้จึงต้องรับโทษเสมือนเป็นตัวการ ตามมาตรา 84 วรรคสอง กรณีเช่นนี้ไม่ถือว่าผู้ถูกใช้กระทําเกินขอบเขตที่ใช้ ตามมาตรา 87 นายเบี้ยวจึงมีความผิดตามมาตรา 289 (4) โดยเป็นผู้ใช้ตามมาตรา 84
การสอบข้อเขียนความรู้ชั้นเนติบัณฑิต ภาคหนึ่ง สมัยที่ 70 ปีการศึกษา 2560
กฎหมายอาญา กฎหมายภาษีอากร กฎหมายแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน
กฎหมายรัฐธรรมนูญ และกฎหมายปกครอง
วันอาทิตย์ 24 กันยายน 2560
คำถาม
ข้อ 3.
นายสมต้องการฆ่านางใส จึงคิดวางแผนฆ่านางใส ด้วยการหาซื้อยาเบื่อหนู เมื่อได้มาแล้วได้เอายาเบื่อหนูใส่ในโอ่งน้ำดื่มของนางใส นายสองน้องชายของนางใสเห็นเหตุการณ์โดยตลอด จึงตะโกนร้องบอกนางใสพี่สาวในทันทีไม่ให้ดื่มน้ำในโอ่งนั้น นายสมตกใจที่ความแตก จึงรีบวิ่งหนี นายสองโกรธที่นายสมกระทํากับพี่สาวของตนเช่นนั้น จึงวิ่งไล่ยิงนายสมไปทันที ขณะที่นายสมวิ่งหนีไปตามทางแคบๆ มีรถจักรยายของนายเหลืองจอดขวางทางอยู่ นายสมจึงวิ่งชนรถนั้นเพื่อไม่ให้โดนยิง ทําให้รถล้มลงและได้รับความเสียหาย โดยนายสองยิงถูกนายสมได้รับบาดเจ็บสาหัส
ให้วินิจฉัยว่า นายสมและนายสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาฐานใด
ธงคำตอบ
นายสมมีเจตนาฆ่านางใส การเอายาเบื่อหนูใส่ในโอ่งน้ำดื่มของนางใส เป็นขั้นตอนสุดท้ายของการดําเนินการในการฆ่านางใส อันเป็นการกระทําที่ใกล้ชิดต่อความผิดสําเร็จที่จะเกิดขึ้น จึงมีความผิดฐานพยายามฆ่านางใสโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 (4) ประกอบมาตรา 80 และมีความผิดฐานปลอมปนเครื่องอุปโภคบริโภคเพื่อบุคคลอื่นเสพหรือใช้ และการปลอมปนนั้นน่าจะเป็นเหตุเกิดอันตรายแก่สุขภาพ ตามมาตรา 236 ด้วย (เทียบคําพิพากษาฎีกาที่ 2143/2536)
นายสองมีความผิดฐานพยายามฆ่านายสม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบมาตรา 80 แต่อ้างเหตุบันดาลโทสะตามมาตรา 72 ได้ เพราะการที่นายสม ลงมือฆ่านางใสเป็นการข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมต่อนางใส และต่อนายสองน้องชาย ซึ่งเห็นเหตุการณ์โดยตลอดด้วย (เทียบคําพิพากษาฎีกาที่ 1597/2497)
นายสมมีความผิดฐานทําให้เสียทรัพย์ของนายเหลือง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 358 โดยจะอ้างว่าเป็นการกระทําความผิดด้วยความจําเป็นตามมาตรา 67 (2) เพื่อให้ตนพ้นจากภยันตรายจากการถูกไล่ยิงไม่ได้ เพราะภยันตรายนั้นนายสมเป็นผู้ก่อให้เกิดขึ้นเพราะความผิดของนายสมเอง